วันศุกร์, สิงหาคม 15, 2557

มุมมองของช้อนที่ยาวหนึ่งเมตร



มุมมองของช้อนที่ยาวหนึ่งเมตร

     ....จำไม่ได้แล้วว่าได้ยินเรื่องของช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรมาจากที่ใด แต่สาระของเรื่องนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจและกลับมาให้แง่คิดในหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งนั่นมาพร้อมกับความสุขและความอิ่มใจ เรื่องราวของช้อนยาวหนึ่งเมตรนี้เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจให้ในบางครั้งการจะทำอะไรให้สำเร็จ เราก็แค่เพียงตักอาหารที่ดีที่สุดแล้วป้อนใส่ปากของคนที่อยู่ตรงข้ามเรา แทนที่จะพยายามตักอาหารที่อร่อยที่สุด แล้วพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะป้อนใส่ปากเรา ทั้งทั้งที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรที่ใช้ตักอาหารนั้นไม่มีทางทำให้เราอิ่ม...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้มีชายคนหนึ่งอยากรู้เหลือเกินว่า นรก กับ สวรรค์ ต่างกันอย่างไร ในค่ำคืนหนึ่งขณะที่กำลังหลับได้มีเทวดาองค์หนึ่งพาเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นงดงามจนสุดจะบรรยาย มีต้นไม้ร่มรื่น มีลมพัดเย็น ดูแล้วน่าจะเป็นสวรรค์มากกว่านรก เทวดาได้พาชายหนุ่มคนนั้นมาหยุดที่ห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นประดับประดาไปด้วยอัญมณีและสิ่งของมีค่า กว้างขวาง โอ่อ่า ตรงกลางห้องมีโต๊ะกินข้าวกว้างประมาณหนึ่งเมตร มีผู้คนทั้งชายหญิงนั่งคละกันไปแต่แบ่งเป็นสองฝั่งแค่เงยหน้าทุกคนก็จะเห็นคนอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน ตรงหน้าของแต่ละคนมีจานอาหารหนึ่งใบพร้อมด้วยอาหารรสเลิศที่ดูดีมีสีสันน่ากิน และอาหารแต่ละคนล้วนตักมาจนพูนจาน ทางด้านขวามือของแต่ละคนมีช้อนคนละหนึ่งคัน แต่...ช้อนนั้นมีความยาวประมาณหนึ่งเมตรและมีด้ามจับอยู่ตรงปลาย ชายหนุ่มสังเกตเห็นรูปร่างแต่ละคนในห้องนั้นล้วนผอมโซแล้ว ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจนัก  เจ้ามาได้เวลาอาหารกลางวันพอดี กฎของที่นี่คือทุกคนต้องใช้ช้อนตักอาหารเท่านั้น และมีเวลากินเพียงสิบห้านาที เทวดากล่าว เริ่มได้.... สิ้นเสียงของคำพูด ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว ต่างก็รีบหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความยาวของช้อน กว่าจะตักแล้วยื่นใส่ปาก ก็ลำบากมาก แถมกว่าจะส่งเข้าปาก อาหารนั้นก็หกหล่นตามพื้นเต็มไปหมดเนื่องจากมือที่สั่น  ที่เหลือติดช้อนนั้นก็มีเพียงนิดเดียว และยิ่งเวลากระชั้นชิดเข้ามา ทุกคนต่างก็ยิ่งรีบ ยิ่งรีบก็ยิ่งหก  นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ทุกคนที่นี่ล้วนดูอดอยากทั้งที่มีอาหารดี ๆ อยู่เต็มไปหมด ชายหนุ่มคิด...ก่อนจะเดินออกมาจนสังเกตเห็นประตูหน้าห้องที่เขียนว่า ...ห้องสำหรับคนตกนรก....
       ถัดจากห้องสำหรับคนตกนรกมาอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน มีป้ายติดไว้ว่า ...ห้องสำหรับคนขึ้นสวรรค์...  ห้องนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ มันคงจะแตกต่างจากห้องนรกน่าดู    แต่เมื่อเทวดาเปิดประตูออกมา ก็ทำให้เขาประหลาดใจเพราะทุกอย่างในห้องล้วนเหมือนกันกับห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมารวมทั้งกฏในการทานอาหาร จะแตกต่างกันก็แต่เพียง ผู้คนที่อยู่ในห้องนี้ล้วนหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณผุดผ่อง พูดคุยกันราวกับเพื่อนสนิท ทำไมไม่เห็นหิวโซเหมือนห้องเมื่อกี้เลย ชายหนุ่มคิดในใจ
      เริ่มทานอาหารได้ เมื่อสิ้นเสียงทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น ต่างก็ค่อย ๆ ใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรนั้นตักอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับตนแล้วป้อนใส่ปากของคนที่อยู่ตรงกันข้าม ผลัดกันไปมาด้วยความเรียบร้อย โดยไม่มีอาหารตกหล่นและวุ่นวาย เพียงสิบนาทีทุกคนก็ได้กินอาหารจนอิ่ม .....
         ผมรู้แล้วว่านรกกับสวรรค์ต่างกันอย่างไร ชายหนุ่มกล่าวกับเทวดาในขณะที่เทวดาพาเขามาส่งยังห้องนอนของเขา

…..แล้วคุณล่ะ  รู้หรือยัง..?
.....สำหรับผมรู้เพียงว่าทุกคนจะมีความสุขถ้าเรารู้จักคำว่า แบ่งปัน

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 14, 2557

คำศัพท์ด้านทะเล



เพิ่มพูนคำศัพท์
คำศัพท์ด้านทะเล

Gravelly beach : ชายหาดที่มีแต่ก้อนกรวด                                        
Exposed sandbar : สันดอนทรายโล่งไม่มีที่กำบัง
Group of dolphins : ฝูงปลาโลมา
Lace-up sandal : รองเท้าแตะผูกเชือก
Scuba mask : หน้ากากดำน้ำ
One-piece swimsuit : ชุดว่ายน้ำชิ้นเดียว
Dig  for clams : ขุดหาหอยกาบ
Turn a boat’s stern : หันท้ายเรือ
Tread water : ลุยน้ำ
Sea cow : พยูน
Sea serpent : งูทะเล
Sea horse : ม้าน้ำ
Sail : แล่นเรือ
Splash : (น้ำ) กระเซ็น
Sink : จม
Of lighthouses : เกี่ยวกับประภาคาร
Of sand : เกี่ยวกับทราย
Of seas and oceans : เกี่ยวกับทะเลและมหาสมุทร
Polluted : มลพิษ
Pertaining to mollusks : เกี่ยวข้องกับสัตว์จำพวกหอยและปลาหมึก
Along a seashore : ตามชายฝั่งทะเล
Tropical breeze : ลมอ่อน ๆ เขตร้อนชื้น
Floating seaweed : สาหร่ายทะเลที่ลอยอยู่ในน้ำ
Warming current : กระแสน้ำที่อุ่นขึ้น
Seasickness : เมาเรือ
Undertow : กระแสใต้น้ำ
Monster : สัตว์ประหลาด
Raise a mainsail : ยกใบเรือใหญ่ของเรือใบ
Move like waves : เคลื่อนไหวราวกับคลื่น
Skinny-dip : ว่ายน้ำแบบเปลือยกาย
Shell expert : ผู้เชี่ยวชาญด้านหอย
Shark expert : ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลาม
Erosion expert : ผู้เชี่ยวชาญด้านการสึกกร่อน

ความแตกต่างของ Floatsam กับ Jetsam
Floatsam คือสิ่งของที่บังเอิญหลุดกระเด็นลอยน้ำออกมาหลังเรืออัปปาง
Jetsam คือสิ่งของที่ตั้งใจโยนออกมาเพื่อลดน้ำหนักกรณีฉุกเฉิน ซึ่งอาจลอยมาเกยฝั่ง และสามารถอ้างสิทธิ์ได้ตามกฎหมายกรณีมีคนพบ

ที่มา : หนังสือ สรรสาระ (Reader’s Digest) ฉบับเดือนตุลาคม 2553 หน้าที่ 131

วันพุธ, สิงหาคม 13, 2557

ความเป็นมาของการกินเจ

กินเจสด รสธรรมชาติ

      ในเรื่องของการกินผัก นับเป็นความชาญฉลาดของอารยธรรมจีนที่กำหนดการกินเจปีละ 10 วันขึ้นมา คำว่า "เจ" แปลตรงตัวว่า "ผัก" คนจีนโบราณรู้ได้อย่างไรว่าผักมีประโยชน์มากมายต่อร่างการย จึงต้องกำหนดให้คนเราอย่างน้อยต้องกินผักอย่างเต็มที่ปีละ 10 วัน ถึงแม้ว่าวัตรปฏิบัติดังกล่าวจะเจือปนด้วยความเชื่อ ความศรัทธาหรือใช้แนวคิดทางศาสนามาชี้นำก็ตามทีเถิด ในแต่ละวันคนเราอาจจะเผลอไม่กินผักบ้าง แต่สำหรับฤดูกาลกินเจ คนจีนโบราณต่างละเลิกเนื้อสัตว์ เลิกอาหารกลิ่นฉุน หันมากินผักกันถ้วนหน้า
       สำหรับความเป็นมาของการกินเจ มีตำนานเล่าว่าแต่ก่อนคนจีนเคารพนับถือเชื้อพระวงศ์ผู้วิเศษซึ่งเป็นพี่น้องกันอยู่ 9 องค์ เมื่อทั้งหมดตายลง ต่างก็ไปเกิดเป็นเทพบนสวรรค์ หรือดาวที่อยู่เรียงกัน 9 ดวง คือดาวจระเข้ เทพทั้งเก้าเป็นผู้ถือบัญชีอายุขัยของคนบนโลกนี้ และสามารถต่ออายุของคนเราให้ได้ คนจีนเชื่อว่า ระหว่างวันขึ้น 1-9 ค่ำเดือน 9 ทวยเทพทั้งเก้าจะตรวจสอบบันทึกนี้ และจะบันดาลให้เป็นไปตามกรรมดีกรรมชั่วของแต่ละบุคคล ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว สมควรที่ชาวโลกจะต้องประกอบกรรมดี ทำตัวดี ๆ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ละเลิกอาหารคาว ชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ หันมาถือศีลกินเจ หรือกินผัก ทำเช่นนี้จะรอดพ้นจากการตรวจสอบ จึงจะมีอายุยืนยาว
        เห็นหรือยังว่าการกินเจนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมีสุขภาพดี และความมีอายุยืนยาว ขนาดคนจีนยังให้อรรถาธิบายเอาไว้เช่นนั้น ก่อนที่องค์การอนามันโลกจะประกาศให้กินผัก นับเป็นพัน ๆ ปีเลยทีเดียว
        แต่ก็ยังมีตำนานที่เล่าขานเกี่ยวกับการกินเจสำนวนอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน การกินเจเริ่มต้นตามวันทางจันทรคติของจีน คือเริ่มในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 รวมเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน  สำหรับการกินเจจริง ๆ นั้น จะห้ามทานเนื้อสัตว์ทุกประเภทและรวมถึงห้ามพืชกลิ่นแรง 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม (รวมผักชี) หลักเกียว กู๋ไช่ และยาสูบ เพราะคนจีนเชื่อว่าสิ่งที่กล่าวมามีฤทธิ์กระตุ้นอารมณ์ ทำให้จิตใจเร่าร้อน หงุดหงิด โกรธง่าย ทำให้พลังธาตุในร่างกายรวมตัวกันไม่ติด จึงถือเอาว่ามันเป็นสารพิษที่จะไปทำลายพลังธาตุทั้งห้าของร่างกาย ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ จึงสมควรหลีกเลี่ยงในระยะถือศีลกินเจ
       อย่างไรก็ตามหากจะผสมผสานแนวคิดแบบจีนโบราณกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนใหม่ เอาเป็นว่าในฤดูกาลกินเจ หันมากินผักสดและผลไม้สดเป็นหลัก ปรุงแต่งรสชาติอาหารให้น้อยที่สุด ให้เจของคุณเป็นเจสดรสธรรมชาติก็จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณมากกว่า
       แต่อย่าลืมว่า สมัยก่อนการกินเจแค่ปีละ 10 วัน อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับโลกที่ยังสะอาดบริสุทธิ์อยู่....แค่นั้นคนโบราณก็ฟื้นสุขภาพของตนได้แล้ว แต่สมัยนี้โลกของเราเต็มไปด้วยมลพิษและสารเคมีสารพัด เราอาจจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก กินผัก ผลไม้ ซึ่งต้องเน้นคำว่า "สด" ด้วย และย้ำอีกว่า ต้องกินทุกวัน วันละประมาณ 500 กรัม นั่นแหละเราจึงจะมีสุขภาพดี



ที่มา : บทความบางส่วนจากหนังสือ ขวัญเรือน ฉบับ 982 ปักษ์หลังตุลาคม 2555 หน้า 68 :พญ.ลลิตา ธีระสิริ คอลัมม์ เพื่อชีวิตและสุขภาพ

วาณิช จรุงกิจอนันต์

วาณิช จรุงกิจอนันต์ ตำนานนักเขียนฝีมือฉกาจ


    วาณิช จรุงกิจอนันต์ เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2491 เป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี จบการศึกษาคณะจิตรกรรมประติกรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ศึกษาปริญญาโทด้านศิลปะ ที่มหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา วาณิช จรุงกิจอนันต์ ได้รางวัลซีไรต์ จากเรื่อง "ซอยเดียวกัน" มีผลงานมากมาย อาทิ แม่เบี้ย, เคหาสน์ดาว, จดหมายถึงเพื่อน, ถึงแม่จำเนียร, เพื่อนผู้อยู่ในบ้าน, ต้มยำทำแกง, ประเดี๋ยวเดียวที่จตุรัสแดง, ไอ้พวกสุพรรณ, รักคิดถึงกันไหม ฯลฯ งานเขียนของเขาได้รับความนิยมจากนักอ่านในวงกว้าง เนื่องด้วยฝีมือและลีลาการเขียนที่แพรวพราวมากด้วยชั้นเชิง

      วาณิช จรุงกิจอนันต์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2553 ด้วยโรคลูคีเมียเฉียบพลัน สร้างความอาลัยแก่นักอ่านเป็นอย่างยิ่ง

     บางส่วนจากหนังสือ ต้มยำทำแกง ของ วาณิช จรุงกิจอนันต์ จากบท อาหารเด็ก ๆ

......"กับข้าวสมัยก่อนโน้น ถ้าเป็นบ้านนอกทั่วไปไม่มีอะไรซับซ้อนให้ต้องเตรียมการวุ่นวายหรอกครับ กินกันง่าย ยิ่งถ้าเป็นบ้านชาวนาทั่วไปที่ไม่ได้มีฐานะมั่งมีอะไร คนสมัยอยุธยากินกันอย่างไรก็ยังทำกินกันอย่างนั้น
       อย่างผมไปบ้านยายซึ่งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณฯ ยายผมนั้นถ้าต้องมีการซดน้ำแกงเมื่อไหร่แกจะต้องต้มโคล้งปลาแห้ง ตั้งหม้อพอน้ำเดือดดีก็หักปลาแห้งใส่ลงไป ใส่น้ำปลา น้ำส้มมะขาม จากนั้นเอาพริกแห้งย่างไฟ ฉีกขยี้ใส่ลงเป็นอย่างสุดท้าย อ้อ...มีหัวหอมแดงสามสี่หัวทุบใส่ลงไปกับปลาแห้งด้วย คนสมัยอยุธยาก็น่าจะต้มโคล้งแบบเดียวกับยายผม
       ตั้งแต่เป็นเด็กมาผมนึกไม่ออกเอาเลยว่ามีกับข้าวอะไรที่ผมไม่กินหรือกินไม่ได้ ไม่ว่าที่บ้านจะทำกับข้าวอะไรมาก็กินได้ จะรสจัดรสจืดรสเผ็ดหรือมีผักหญ้าอะไรมาก็กินได้หมดไม่เหมือนลูก ๆ ผม ที่ไม่รู้พ่อแม่มันเลี้ยงมายังไง ไอ้นั่นไม่กินไอ้นี่ไม่เอา นี่กินไม่ได้นี่ไม่อร่อย หมั่นไส้ขึ้นมายังนึกอยากให้มันไปเป็นเด็กโตมาแบบผมที่สุพรรณฯ มีให้แดกก็ดีตายห่าแล้ว...นี่พูดแบบพวกสุพรรณฯ....


ที่มา : บทความบางส่วนจากหนังสือ ขวัญเรือน ฉบับ 982 ปักษ์หลังตุลาคม 2555 หน้า 191-192 :โป่งข่าม

วันพุธ, พฤศจิกายน 07, 2555

สุรพล สมบัติเจริญ (ตำนานที่ไม่เคยตาย)

สุรพล สมบัติเจริญ (ตำนานที่ไม่เคยตาย)

        “ลืม...ผมหรือยังครับแฟน...เมื่อก่อนเคยฟังกันแน่น แฟนจ๋าแฟนลืมผมหรือยัง....”
บทเพลง “แฟนจ๋า” ที่ร้องออดอ้อนแฟนเพลงได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งนี้ ทำให้หลายคนที่ได้ฟัง อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเจ้าของผลงานเพลงคนนี้ เพราะเขาคือ “ราชาเพลงลูกทุ่ง” ผู้โด่งดังที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เมืองไทยเคยมีมา
สุรพล สมบัติเจริญ
         ผมเชื่อว่าถ้าใครเป็นแฟนเพลงของ สุรพล สมบัติเจริญ แล้วล่ะก็ ถ้าได้ยินเพลงนี้เข้า ต้องคิดถึงเขาแน่ ๆ คงไม่มีทางลืมเขาได้ลงคอ
        ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๐ วงการเพลงของโลก สูญเสีย เอลวิส เพรสลี่ย์ “ราชาเพลงร็อก แอนด์ โรล” ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชาวโลกรู้จักกันดี เขาจากไปพร้อมกับความโศกเศร้าเสียใจของเหล่าแฟนเพลงทั่วโลก แต่ก่อนหน้านั้น คนไทยทั้งประเทศก็ต้องพบกับการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน กับการจากไปของ “ราชาเพลงลูกทุ่ง” สุรพล สมบัติเจริญ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม เช่นกัน แต่เป็นปี พ.ศ.๒๕๑๑
         ๑๖ สิงหาคม จึงเป็นวันที่แฟนเพลงต่างร่วมรำลึกถึงราชาเพลงผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนนี้ โดยเฉพาะรายการเพลงทางสถานีวิทยุต่าง ๆ คงเปิดเพลงของราชาเพลงทั้งคู่กันทั้งวันเลยทีเดียว
         เดิมทีเพลงลูกทุ่งนั้น ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นเพลงในกลุ่มเดียวกันกับเพลงไทยสากล โดยยังไม่มีการแยกประเภทเพลงไทยสากลออกเป็น “ลูกทุ่ง” หรือ “ลูกกรุง” เพราะบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการดนตรีในเวลานั้นต่างประสงค์ที่จะไม่ให้มีการแบ่งแยกประเภทของเพลงไทยสากลออกจากกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แนวเพลงพื้นบ้านที่มีคำร้อง คำบรรยาย กล่าวถึงวิถีของชาวชนบท ชีวิตของหนุ่มบ้านนอก สาวบ้านนา และความยากจน ที่มีนักร้องกลุ่มหนึ่งในขณะนั้นนิยมร้อง ก็ถูกชาวบ้านเรียกขานกันว่าเป็น “เพลงตลาด”
          จนกระทั่งปลายปี พ.ศ.๒๕๐๗ รายการเพลงของสถานีไทยโทรทัศน์ ซึ่งจัดโดย ประกอบ ไชยพิพัฒน์ และเปิดเฉพาะ “เพลงตลาด” ที่ใช้ชื่อว่า “รายการเพลงลูกทุ่ง” นั้น กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากบรรดาผู้ฟัง ทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “เพลงลูกทุ่ง”  ก็ถูกแยกออกเป็นเอกเทศอย่างชัดเจนจากเพลงลูกกรุงโดยปริยาย
          ในหนังสือกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า “เพลงลูกทุ่ง” หมายถึง “เพลงที่สะท้อนวิถีชีวิต สภาพสังคมอุดมคติ และวัฒนธรรมไทย โดยมีท่วงทำนอง คำร้อง สำเนียง และลีลาการร้อง การบรรเลง ที่เป็นแบบแผน มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งให้บรรยากาศความเป็นลูกทุ่ง”
สุรพล
          ความนิยมของวงดนตรีลูกทุ่งยุคนั้นนอกจากจะวัดกันที่พวงมาลัยที่เหล่าแฟนเพลงคล้องให้นักร้องจนท่วมหัวแล้ว ยังวัดกันที่การประชันวงกันแบบซึ่ง ๆ หน้า ชนิดที่เรียกได้ว่าหันหน้าชนกันครั้งละ ๓ – ๔ วง ตามงานประจำปีของวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะวัดที่มีชื่อเสียงทางภาคกลาง เช่น จังหวัดอยุธยา สุพรรณบุรี ราชบุรี และนครปฐม หากแฟนเพลงไปรวมตัวกันชมดนตรีอยู่ที่หน้าวงไหนมากที่สุด ก็ถือกันว่าวงนั้นเป็นวงยอดนิยมของขวัญใจมหาชนตัวจริงเสียงจริง
            สุรพล สมบัติเจริญ เป็นผู้ที่ทำให้เพลงลูกทุ่งพุ่งผงาดอยู่ในความนิยมของวงการเพลง ด้วยลีลาและรูปแบบเฉพาะตัว การได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชาเพลงลูกทุ่ง” ก็เพราะความมีอัจฉริยะในตัวเองที่สามารถแต่งเพลงเองและร้องเพลงเองได้ด้วย
           เขาเริ่มชีวิตการร้องเพลงจากกองดุริยางค์ทหารอากาศ และมีโอกาสได้ร้องเพลงในงานสังสรรค์ต่าง ๆ ที่กองทัพอากาศได้รับเชิญไปให้แสดง จนได้รับการสนับสนุนให้ได้บันทึกแผ่นเสียงเป็นครั้งแรกในเพลง “น้ำตาลาวเวียง” ตามมาด้วยเพลง “ชูชกสองกุมาร” ที่ทำให้ “สุรพล สมบัติเจริญ” เริ่มเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ
            สุรพล สมบัติเจริญ เป็นคนที่มีใจฝักใฝ่ในการทำเพลงตลอดเวลา ไม่ว่าตนเองจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม คนใกล้ชิดคนหนึ่งของเขาเล่าว่า “ค่ำวันหนึ่ง สุรพล ชวนผมขี่รถเวสป้าคันโปรดเพื่อที่จะไปธุระด้วยกัน ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย อยู่ ๆ เขาก็ฮัมขึ้นเป็นเพลงว่า หนาวจะตายอยู่แล้ว...ว...ว...และหลังจากนั้นไม่กี่วันก็กลายมาเป็นเพลงสุดฮิตอีกเพลงของเขา...หนาวจะตายอยู่แล้ว”
            นอกจากนี้ สุรพล สมบัติเจริญ ยังทำหน้าที่เป็นครูเพลง ทั้งแต่งเพลงให้คนอื่นร้อง ทั้งปลุกปั้นนักร้องรุ่นน้องจนโด่งดังมีชื่อเสียงอีกมากมาย อย่างเช่น ผ่องศรี วรนุช, ไพรวัลย์ ลูกเพชร, ละอองดาว สกาวเดือน, ยงยุทธ เชี่ยวชาญชัย, เมืองมนต์ สมบัติเจริญ เป็นต้น
           สุรพล สมบัติเจริญ ถูกยิงเสียชีวิต หลังจากการแสดงบนเวทีที่จังหวัดนครปฐม เมื่ออายุเพียง ๓๗ ปี เขาจากไปโดยได้ทิ้งผลงานเพลงที่แต่งเองและร้องเองเป็นชิ้นสุดท้ายเอาไว้ นั่นคือเพลง “๑๖ ปีแห่งความหลัง” และยังเป็นเพลงสุดท้ายที่เขาร้องก่อนก้าวลงจากเวทีในคืนวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๑ อีกด้วย

ที่มา: จากหนังสือมอร์มูฟแม็กกาซีน ( Moremove Magazine) เล่มที่ ๓๓ ประจำเดือน สิงหาคม ๒๐๑๐

ตลกโปกฮา - ยาคลายเครียด

นิยามของงานขาย
....ถ้าคุณเห็นสาวสวยในงานเลี้ยง แล้วคุณตรงเข้าไปบอกเธอว่า ผมรวย แต่งงานกับผมไหม นั่นคือการขายตรง
    ถ้าคุณให้เพื่อนคุณเข้าไปบอกเธอว่า เพื่อนผมรวย เขาอยากแต่งงานกับคุณนั่นคือการโฆษณา
    ถ้าคุณขอเบอร์โทรศัพท์จากเธอและโทรศัพท์ไปบอกเธอวันรุ่งขึ้นว่าคุณรวย นั่นคือ การขายทางโทรศัพท์
    ถ้าคุณเข้าไปชวนเธอคุย ซื้อเหล้าเลี้ยงเธอ พาเธอไปส่งบ้าน ก่อนจะบอกว่าคุณรวย นั่นคือการประชาสัมพันธ์
    แต่...ถ้าเมื่อไรที่เธอตบหน้าคุณ หลังจากที่คุณบอกว่าคุณรวย แต่งงานกับผมไหม นั่นคือการตอบสนองของลูกค้า

วามต่างของวิชาแต่ละนง
     ต้นถามยุทธว่า "รู้หรือเปล่าว่าชีววิทยากับสังคมวิทยาต่างกันอย่างไร"
     ยุทธตอบว่า "เมื่อเด็กคนหนึ่งเกิดมาแล้วหน้าตาเหมือนพ่อแม่ นั่นเป็นเรื่องของชีววิทยา แต่ถ้าเด็กเกิดมาแล้วหน้าตาดันไปเหมือนเพื่อนบ้าน ทีนี้ล่ะ ปัญหาสังคมจะเกิดขึ้นทันที"

ใครรู้จักแม่นานกว่ากัน
      เช้าวันหนึ่ง ลูกสาววัยแปดขวบกับลูกชายวัยห้าขวบทะเลาะกันเรื่องจะเลือกกินอะไรเป็นอาหารเช้าดี เด็ก ๆ อยากกินของหวานเป็นอาหารเช้า แต่ผมบอกว่าแม่คงจะไม่พอใจแน่ ๆ ถ้าอนุญาตให้ลูกกินของหวานเป็นอาหารเช้า ลูกสาวแย้งว่า แม่ไม่ว่าหรอก ผมเถียงว่าผมรู้จักแม่มานานกว่าพวกเขา "ไม่จริง" ลูกสาวเถียง "พ่อรู้จักกับแม่ตอนเรียนมัธยม แต่พวกเรารู้จักแม่มาตั้งแต่เกิด"

วันอาทิตย์, ตุลาคม 28, 2555

ผีเสื้อที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

ผีเสื้อที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

         ผีเสื้อและแมลงอื่น ๆ ทุกชนิดจัดเป็น "สัตว์ป่า" นับตั้งแต่มีการประกาศพระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕   ผีเสื้อหลายชนิดจัดเป็น "สัตว์ป่าคุ้มครอง" เนื่องจากอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์โดยห้ามซื้อขายและห้ามมีไว้ในครอบครอง ผีเสื้อที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองมีทั้งหมด
ผีเสื้อที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
๑. ผีเสื้อค้างคาว (Lyssa zampa) - เป็นผีเสื้อกลางคืน
๒. ผีเสื้อหางยาวตาเดียวปีกลายหยัก (Actias maenas) - เป็นผีเสื้อกลางคืน
๓. ผีเสื้อถุงทองธรรมดา (Troides aeacus) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๔. ผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียว (Papilio palinurus) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๕. ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ (Meandrusa sciron) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๖. ผีเสื้อนางพญาก็อดเฟรย์ (Stichophthalma godfreyi) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๗. ผีเสื้อสมิงเชียงดาว (Bhutanitis lidderdalel) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๘. ผีเสื้อรักแร้ขาว (Papilio protenor) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๙. ผีเสื้อมรกตผ้าห่มปก (Teinopalpus imperialis) - เป็นผีเสื้อกลางวัน

  ทั้งหมดมีอยู่ ๙ ชนิด
ดูรายละเอียดเกี่ยวกับผีเสื้อทั้งหมดได้ที่ :
http://www.ist.cmu.ac.th/riseat/nl/2004/07/01.php

Pages