วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 03, 2555

ความสำคัญในนาม ปรีดี พนมยงค์


ความสำคัญในนาม ปรีดี พนมยงค์ 

    วันปรีดี พนมยงค์ ตรงกับวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันเกิด ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล เมือ ค.ศ. ๒๐๐๐ ได้รับการประกาศยกย่องจากยุเสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกและได้มีการบรรจุชื่อไว้ในปฏิทินเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของยูเนสโก
   ถนนประดิษฐ์มนูธรรม  เป็นถนนเลียบทางพิเศษฉลองรัช กรุงเทพฯ มีความยาว ๑๒ กิโลเมตร
   ถนนปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ ๓ สาย คือที่ถนนสุขุมวิท ๗๑  ถนนใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยา และภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
    สะพานปรีดี – ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสักอันเป็นทางเข้าออกหลักของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ตั้งตามชื่อนาย ปรีดี พนมยงค์ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
     อนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ ตั้งอยู่ ๒ แห่ง คือ บริเวณลานหน้าตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ และหน้าอาคารยิมเนเซียม ๒ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
     อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ ๒ ที่คือบริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของนายปรีดี จ. พระนครศรีอยุธยาและห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
     สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท ๕๕
     หอสมุดปรีดี พนมยงค์ เป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
     ปรีดีคีตานุสรณ์ คือ บทเพลงซิมโฟนีหมายเลข ๔ ประพันธ์โดยคีตกวี สมเถา สุจริตกุล ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์
      วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
      คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ คณะนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
       นกปรีดี (Chloropsis Aurifrons Pridii) เป็นชื่อนกชนิดย่อยของนกเขียวก้านทองหน้าผากสีทอง ที่สถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙
          ปลาปล้องทองปรีดี (Schistura Pridii) เป็นปลาที่ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖ พบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

ที่มา : จากคอลัมน์ Someone Special  ของ Together MagaZine  ปีที่ 3 ฉบับที่ 30 เมษายน 2555

ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีคนที่ 7 ของไทย

ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม 

      ปรีดี พนมยงค์ ผู้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ด้านการเมืองการปกครองของไทยช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือราว 70 ปี ที่ผ่านมา
    แม้ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ที่มีอายุสูงวัยกว่านั้นหรือเกิดก่อนนั้นคงจะมีน้อยเต็มที หลายท่านก็ยังคงเป็นเด็กเกินกว่าที่จะรับรู้เรื่องการเมือง...ทว่านาม ปรีดี พนมยงค์ นามนี้ดูเหมือนว่าชาวไทยแทบทุกวัยในวันนี้จะคุ้นเคย แต่ก็อาจจะยังไม่รู้จักมักจี่กันดีว่า  ท่านผู้นี้คือใครกัน
          นายกรัฐมนตรีคนที่ ๗  ตำแหน่งนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้นาม ปรีดี พนมยงค์ ยังคงเป็นอมตะมาจนทุกวันนี้
          หนึ่งในกลุ่มคณะราษฎร ผู้นำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย ผู้ประสานงานขบวนการเสรีไทยในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นคนแรก ซึ่งฐานะหลังนี้เองที่ยิ่งสนับสนุนให้ท่านโดดเด่นในวงการการเมืองการปกครองของไทยเป็นอย่างยิ่ง  เพราะศิษย์จากรั้วมหาวิทยาลัยนี้นับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างสูงในการปกครองประเทศไทยตลอดมา
          ประวัติ: ท่านเป็นชาวกรุงเก่า หรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเรือนแพย่านวัดพนมยงค์ ลูกชาวนาชาวสวนที่มีฐานะดี สอบไล่ที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ได้เป็นเนติบัณฑิตสยาม เมื่ออายุเพียง ๑๙ ปี จากนั้นก็ได้รับทุนไปศึกษาต่อวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส ได้รับปริญญาทางกฎหมาย และได้ “ลิซองซิเอ ทางกฎหมาย” จากนั้นศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส ได้ดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมาย ( Docteur en Droit) ฝ่ายเนติศาสตร์ และประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐศาตร์ จากมหาวิทยาลัยปารีส
           หลังจากกลับประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ นายปรีดี พนมยงค์ได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรม แล้วย้ายไปเป็นเลขานุการกรมร่างกฎหมายและเป็นอาจารย์สอนกฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมาย จนกระทั่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น อำมาตย์ตรีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒
           หลวงประดิษฐ์มนูธรรมรับเป็นหัวหน้าสายพลเรือน เป็นผู้รับผิดชอบ ในการร่างแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญการปกครอง และเป็นผู้ดูแลการบริหารราชการหลังการปฏิวัติ และในที่สุดการปฏิวัติก็ประสบผลสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยอมรับเงื่อนไขของคณะราษฎร ที่จะให้มีการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ และจำกัดอำนาจการบริหารของพระมหากษัตริย์ และให้มีรัฐสภา และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เมื่อก่อตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของไทยชุดแรกสำเร็จ ท่านเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลด้วย
            เมื่อถึงช่วง พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นเสนอรัฐบาล แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ และถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องเดินทางออกนอกประเทศ กระทั่งต่อมาไม่นานพันเอกพระยาพหลพล-พยุหเสนาทำรัฐประหารอีกครั้งและได้ตั้งคณะกรรมการ สอบสวนคดีดังกล่าวปรากฎว่า นายปรีดี พนมยงค์ ไม่มีมลทิน และนายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
             ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และท่านยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ภายใต้การนำของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับ แต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส
           นายปรีดี พนมยงค์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ ๗ ของไทย เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ และช่วงที่ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น  ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือ ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้เกิดกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วยพระแสงปืน  นายปรีดี พนมยงค์ และรัฐบาลของเขาถูกโจมตีอย่างหนักว่าปิดบังและอำพรางความจริงในกรณีสวรรคต รวมทั้งไม่สามารถหาข้อเท็จจริงในการสวรรคตมาแจ้งให้ประชาชนทราบได้ ในที่สุดนายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
          ต่อมามีรัฐประหารอีกครั้ง นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนีไปพำนักอยู่ที่มาเลเซีย จนลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในจีน กระทั่งถึงแก่สัญกรรมด้วยโรคหัวใจวายที่บ้านพักชานกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ รวมอายุได้ ๘๓ ปี

ที่มา : จากคอลัมน์ Someone Special  ของ Together MagaZine  ปีที่ 3 ฉบับที่ 30 เมษายน 2555

วันพุธ, พฤษภาคม 02, 2555

เฟิร์นและมอส ฟอสซิลมีชีวิตจากยุคดึกดำบรรพ์

เฟิร์นและมอสเผ่าพันธุ์พฤกษาล้านปีสีเขียว
รูปภาพ เฟินเขากวาง
รูปภาพ เฟินเขากวาง
            เฟิร์น Fern จะสร้างสปอร์ไว้ที่ใต้ท้องของใบ สปอร์ของเฟินเป็นผงสีน้ำตาล อาจเรียงรายเป็นรูปวงกลม หรือ เป็นขีด เป็นเส้น มันใช้สปอร์นี้ในการขยายพันธุ์ เมื่อสปอร์มีขนาดและอายุได้ที่ก็จะแตกตัวออก ปลิวกระจายไปในอากาศ หรือติดไปตามแข้งขา ลำตัวสัตว์ แพร่กระจายสายพันธุ์ แตกหน่อเกิดเฟินต้นใหม่ในที่ต่าง ๆ ในสภาพธรรมชาติ เฟินมักจะมีมดอาศัยทำรังอยู่ด้วย และมดก็ชอบที่จะกินสปอร์เฟินเป็นอาหาร ทว่าอาหารอื่น ๆ ที่มดสะสมไว้ในรังของมันก็ยังเป็นสารอาหารชั้นดีให้แก่เฟินด้วย 
รูปภาพมอส
 รูปภาพมอส
              มอส Moss ญาติดึกดำบรรพ์ของเฟิน ในอาณาจักรพืชเราเรียกพวกมันว่า Pteridophyta เติบโตขยายเผ่าพันธุ์ร่วมยุคสมัยหลายร้อยล้านปีมาด้วยกัน  มอสและเฟินเป็นพืชกลุ่มแรก ๆ ของโลก พวกมันมีคลอโรฟิลล์สีเขียวสังเคราะห์แสงสร้างอาหารได้โดยลำพังไม่ต้องง้ออาหารจากใคร มอสไม่ถูกจัดอยู่ในสารบบพืชชั้นสูง เพราะมันไม่มีราก ไม่มีลำต้น และไม่มีใบที่แท้จริง อีกทั้งยังปราศจากดอกจึงต้องแพร่พันธุ์ด้วยสปอร์ โดยอาศัย ลม น้ำ หรือแมลงพาไป ขณะเดียวกัน เฟิน ถือว่ามีวิวัฒนาการที่สูงกว่า แม้ว่ายังต้องสืบพันธุ์ด้วยสปอร์อยู่ แต่มันก็มีรากที่แท้จริง ลำต้นมีท่อน้ำเลี้ยงและส่งอาหาร บางชนิดมีลำต้นแบบเดียวกันกับต้นไม้ใหญ่ ลักษณะคล้ายพวกปาล์ม อย่าง เฟินต้น หรือ              Tree Fern
            ทั่วโลกพบเฟินมากกว่า 15,000 ชนิด 400 สกุลในธรรมชาติ เฟินหลายชนิดนอกจากเป็นอาหารที่แสนอร่อยให้แก่คนเราแล้ว มันยังเป็นพรรณไม้ประดับที่นักจัดสวนชื่นชอบ อย่าง เฟินข้าหลวงที่แตกพุ่มใบกว้างใหญ่เขียวสดใส หรือ เฟินกระแตไต่ไม้ที่เลื้อยไต่เกาะตามลำต้นไม้ส่งก้านใบทั้งชูช่อและห้อยระย้าอย่างงดงาม รวมทั้งมอสที่เรียกว่าเลี้ยงดูให้ไม่แห้งตายนั้นยากยิ่ง นักจัดสวนหลายคนก็ชื่นชอบโดยเฉพาะสวนริมน้ำตกที่สร้างขึ้นเลียนแบบธรรมชาติ
              ความหลากหลายชนิดของเฟินและมอส ทำให้เราสามารถพบเห็นมันได้ทั่วทั้งบริเวณป่าที่สมบูรณ์ ทั้งในน้ำ บริเวณชุ่มน้ำ ตามโคนต้นไม้ หรือบนคาคบไม้สูงเกินเอื้อม บนผิวแผ่นผา รวมทั้งขึ้นแซมซอกโขดหินริมลำธาร ที่มีมอสเขียวขจีปกคลุมก้อนหินนั้นอยู่ด้วย
              เฟินและมอส เป็นสีเขียวอมตะแห่งผืนป่า ความชุ่มชื้นอุดมทำให้พวกมันมีสีเขียวสด ความเขียวสดของมันก็เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเก็บกักน้ำเอาไว้ให้ผืนป่านั้นด้วย มอสอาจเกาะลำต้นไม้ กิ่งไม้ จนถึงโคนรากอย่างหนาแน่นจนดูว่าต้นไม้นั้นมีขนสีเขียวปกคลุม มันก็ไม่ได้ส่งรากแยงเข้าไปในเนื้อต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นเพื่อแย่งอาหาร เหมือนกับพวกกาฝากมันจึงไม่เพียงคลุมต้นไม้ให้ดูงดงาม สร้างป่าให้เขียวขจี มอสยังช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับต้นไม้ต้นนั้น
              เฟินและมอสเกาะอิงอาศัยต้นไม้ใหญ่ไม่เพียงช่วยสร้างความชุ่มชื้น มันยังช่วยสร้างโลกให้งดงาม เสริมสร้างบรรยากาศสดใสบริสุทธิ์  ท่องจำไว้ให้ดีว่า เฟินและมอสที่เกาะอยู่ตามลำต้นไม้ทั้งในป่าในสวนหน้าบ้าน หรือสวนหลังบ้าน มันไม่ได้ทำให้ต้นไม้ตายหรือเหี่ยวเฉา เพราะมันแค่อาศัยเกาะ อาศัยชูช่อเลื้อยเพื่อขยายตัวเติบโต ไม่แทงรากดูดกินอาหารจากลำต้นไม้เลย....อย่าเผลอไผลไปตัดมันทิ้งไป

ที่มา : Together Magazine ปีที่ 3 ฉบับที่ 30 เมษายน 2555

วันอังคาร, พฤษภาคม 01, 2555

ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 ณ วัดดอนธาตุ 
    พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๒  ที่จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มชีวิตวัยเยาว์ในถิ่นที่เกิด จนกระทั่งใน พ.ศ.๒๔๓๕ จึงอุปสมบท ณ วัดใต้ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาได้ยัติเป็นธรรมยุติที่วัดศรีทอง(วัดศรีอุบลรัตนารามในปัจจุบัน) และจำพรรษา ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี
       พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เป็นพระภิกษุที่จำเริญธรรมในสายวิปัสสนากรรมฐาน ฝ่ายธรรมยุต เป็นต้นแบบแก่หมู่พระสงฆ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยการบำเพ็ญธุดงควัตร ซึ่งพระสงฆ์และฆราวาสในสมัยนั้นต่างให้ความศรัทธาเลื่อมใส ท่านเป็นผู้ที่ชักชวนให้พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อริยสงฆ์สำคัญสายวิปัสสนากรรมฐานของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อครั้งยังเยาว์ อุปสมบท ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานีที่ท่านจำพรรษาอยู่

       หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร แห่งวัดถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลยได้กล่าวถึงพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ว่า "นิสัยชอบก่อสร้าง ชอบปลูกพริก หมากไม้ ลักษณะจิตเยือกเย็น มีพรหมวิหารทำจิตดุจแผ่นดิน มีเมตตาเป็นสาธารณะ เป็นคนพูดน้อย เอื้อเฟื้อในพระวินัย ทำความเพียรเป็นกลางไม่ยิ่งไม่หย่อน พิจารณาถึงขั้นภูมิธรรมละเอียดมาก ภาวนาเปลี่ยนอารมณ์แก้อาพาธได้ ชอบสันโดษ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง หมากไม่กิน บุหรี่ไม่สูบรูปร่างใหญ่สันทัด รักเด็ก อาหารชอบเห็ด ผลไม้ต่าง ๆ น้ำผึ้ง.."
         ในช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๘ - ๒๔๖๑ พระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่นได้บำเพ็ญธุดงควัตรในเขตอำเภอหนองสูง จังหวัดนครพนม ต่อเนื่องจนถึงช่วงหลังออกพรรษา (พ.ศ.๒๔๖๑) จึงกลับไปจำพรรษาที่บ้านหนองลาด อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ร่วมกับพระสงฆ์อีก ๓ องค์ ได้แก่ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สุวรรณ และพระอาจารย์สิงห์
          นับแต่ พ.ศ.๒๔๗๐ พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ได้ดำรงตำแหน่งพระครูวิเวกพุทธกิจ เจ้าอาวาสวัดเลียบและวัดใต้ จนล่วงสู่ปัจฉิมวัย ราว พ.ศ.๒๒๔๘๐ ท่านได้บำเพ็ญธุดงควัตรและเปลี่ยนมาจำพรรษาร่วมกับพระอาจารย์ดี ฉันโน  ณ วัดดอนธาตุ จังหวัดอุบลราชธานี และได้ถึงแก่มรณภาพขณะก้มกราบพระประธานในพระอุโบสถ ณ วัดมหาอำมาตยาราม นครจำปาศักดิ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๔
พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
 ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 ณ วัดดอนธาตุ 
          พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ณ วัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานซึ่งประดิษฐานอัฐิธาตุของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และจัดแสดงอัฏฐบริขาร สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของท่าน อันเกิดจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่ออริยสงฆ์องค์นี้
พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
  ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 ณ วัดดอนธาตุ

วันเสาร์, เมษายน 21, 2555

เรื่องเล่าระหว่างทางธุดงค์ของหลวงปู่ชา

เรื่องเล่าระหว่างทางธุดงค์ของหลวงปู่ชา

พระธุดงค์ : สู้ความกลัวในป่าช้า กล้านอนขวางทางเสือ

   ในระหว่างทางธุดงค์จาริก คราวหนึ่งท่านผ่านไปพักวิเวกอยู่ที่ป่าช้าวัดโปร่งคลอง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ชาวบ้านหามศพมาเผาใกล้ ๆ ที่ปักกลด ซึ่งทำให้พระชากลัวมาก ตกดึกคืนนั้นขณะทำความเพียรอยู่ภายในกลดก็ได้ยินเสียงเดินหนัก ๆ ตรงเข้ามาเหมือนจะเหยียบพระ มาหยุดอยู่ที่หน้ากลด แล้วรู้เหมือนมือที่ถูกไฟไหม้นั้นคว้าไปมาอยู่ตรงหน้า ท่านเล่าว่ากลัวจนไม่มีอะไรจะเปรียบ
   กลัวมากจนหมดความกลัว
   "ปานฝ่ามือกับหลังมือเราพลิกกลับ อัศจรรย์เหลือเกิน ความกลัวมาก ๆ มันหายไปได้ ความไม่กลัวมันกลับมาแทนในที่เดียวกันนี้ โอ ใจมันสูงขึ้น สูงขึ้นเหมือนอยู่บนฟ้านะ เปรียบไม่ถูก"
   แล้วลมฝนก็โหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนท่านเปียกโชกไปหมด
   เช้ามาท่านลุกจากกลดออกไปปัสสาวะ ปรากฎว่าปัสสาวะออกมามีแต่เลือด เพราะปวดมาแต่กลางคืน
   ท่านตกใจว่าข้างในคงฉีกขาด แต่ก็ปลงใจว่า "ตายก็ตายช่างมัน จะทำอย่างไรได้ ตายก็ดี ตายเพราะบำเพ็ญอย่างนี้ ตายเพราะปฏิบัติอย่างนี้ก็พอใจตายแล้ว"
   ต่อมาท่านธุดงค์ไปถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นรอยทางเก่าก็นึกถึงคำสอนของคนโบราณที่ว่า เข้าป่าอย่านอนขวางทางเก่า ก็อยากจะพิสูจน์ให้เห็นจริง จึงปักกลดขวางทางเก่า จากนั้นก็นอนตะแคงหไสยาสน์ภายในกลด หันหลังให้ป่า หันหน้าไปทางหมู่บ้าน
   ขณะที่กำลังนอนกำหนดลมหายใจอยู่ หูก็แว่วได้ยินเสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ๆ ใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงลมหายใจและกลิ่นสาบสางที่ฟุ้งกระจายมากับสายลม ท่านยังคงนอนนิ่งอยู่ทั้งที่รู้ดีว่าเสียงและกลิ่นเช่นนี้ จะเป็นสัตว์อย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเสือ!
   จิตหนึ่งก็ห่วงชีวิตจนตัวสั่นหวั่นไหว แต่กลัวอยู่ไม่นาน จิตของนักต่อสู้ก็ออกมาแย้งและให้เหตุผลว่า
    อย่าห่วงมันเลยชีวิตนี้ แม้ไม่ถูกเสือกัดตาย เราก็ต้องตายอยู่แล้ว การตายขณะเดินตายรอยพระศาสดานี้ ชีวิตย่อมมีความหมาย เราขอเป็นอาหารของเสือ หากว่าเราเคยกินเลือดกินเนื้อกันมา จะได้ชดใช้หนี้ให้หมดกันไป แต่หากไม่เคยเป็นคู่เวรคู่กรรม มันคงไม่ทำอะไรเรา
   เสียงเสือหยุดลง ได้ยินเสียงลมหายใจอยู่ห่าง ๆ สักครู่มันก็หันหลังกลับ เดินเหยียบใบไม้แห้งกรอบแกรบหายเข้าป่าไป
    พระหนุ่มจึงได้คำตอบว่าทำไมคนโบราณจึงห้ามนอนขวางทางเก่า
     และได้ข้อคิดว่า เมื่อเราทอดอาลัยในชีวิต ปล่อยวางมันเสีย ไม่เสียดาย ไม่กลัวตาย ทำให้เกิดความเบาสบาย สติปัญญาเฉียบคมขึ้นเป็นเงาตามตัว จิตเกิดความกล้าหาญไม่สะทกสะท้านสิ่งใด
   ยาวนานนับสิบพรรษากับการปฏิบัติธุดงค์กัมมัฎฐาน บำเพ็ญสมณธรรมขั้นอุกฤษฎ์ หลวงปู่ชามีข้อธรรมในการอบรมสั่งสอนศิษย์ในชั้นหลังว่า
   "ถ้าเราเรียนปริยัติ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ ก็ไม่ได้รับผลเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่เคยได้กินนมโคฉันนั้น"

โอวาทธรรมคำสอน จากหลวงปู่ชา สุภัทโท

โอวาทธรรมคำสอน จากหลวงปู่ชา สุภัทโท
พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2555  สถานที่: พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง

     "ให้เลิกความรู้สึกรักและชังในบุคคลทั้งหลาย
 อย่าอยู่ด้วยความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ
         รู้จักดีและชั่วแล้วเลิกยึดดียึดชั่วเสียด้วย"

พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
 ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2555  สถานที่: พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง

การนั่งสมาธิ นั่งให้ตัวตรง อย่าเงยหน้า
มากเกินไป อย่าก้มหน้าเกินไป เอาขนาดพอดี
เหมือนพระพุทธรูปนั่นแหละมันจึงสว่างไสวดี
ครั้นจะเปลี่ยนอริยาบถก็ให้อดทนจนขีดสุดเสียก่อน
ปวดก็ให้ปวดไป อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยน อย่าคิดว่า
"บ๊ะ ไม่ไหวแล้ว พักก่อนเถอะน่า"
อดทนมันจนปวดถึงขนาดก่อน พอมันถึงขนาดนั้นแล้ว
ก็ให้ทนต่อไปอีก ทนต่อไป ๆ จนมันไม่มีแก่ใจ
จะว่า "พุทโธ" เมื่อไม่ "พุทโธ" ก็เอาตรงที่มันเจ็บ
นั้นแหละมาแทน "อุ๊ย เจ็บ เจ็บแท้ ๆ หนอ"
เอาเจ็บนั้นมาเป็นอารมณ์แทน "พุทโธ" ก็ได้
กำหนดให้ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ นั่งไปเรื่อย
ดูซิว่าเมื่อปวดจนถึงที่สุดแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น
พระพุทธเจ้าท่านว่า มันเจ็บเอง มันก็หายเอง
ให้มันตายไป ก็อย่าเลิก บางครั้งมันเหงื่อแตก
เม็ดโป้ง ๆ เท่าเม็ดข้าวโพดไหลย้อยมาตามอก
ถ้าครั้นทำจนมันได้ข้ามเวทนาอันหนึ่งแล้ว
มันก็รู้เรื่องเท่านั้นแหละ ให้ค่อยทำไปเรื่อย ๆ
อย่าเร่งรัดตัวเองเกินไป

โอวาทธรรมคำสอน ทางไปนิพพาน หลวงปู่ชา

บอกทางไปนิพพาน จาก หลวงปู่ชา สุภัทโท
 ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2555 ที่พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

        โอวาทธรรมคำสอนของท่านจำนวนหนึ่งได้รับการบันทึกเผยแผ่ต่อมาจนปัจจุบัน บางส่วนได้รับการถอดออกมาตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่ม มีแง่มุม สาระ และรสในทางธรรมหลากหลายกันไป กับหนังสืออีกจำนวนหนึ่งที่เล่าถึงชีวประวัติ ปฎิปทา และงานของท่านโดยตรง
        ให้ผู้ศึกษาได้อาศัยเป็นแนวทางในการมุ่งปฏิบัติของตนเอง
"ต้องค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าจะเอาวันสองวันให้ได้ ต้องพากันพยายามทำไปเรื่อย ๆ คนอื่นบอกมันไม่รู้จัก จะต้องไปพบด้วยตัวเอง"
        และไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะเอา แต่เพื่อจะปล่อย
"เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะได้ เราปฏิบัติพื่อจะละ คือถ้าปฏิบัติเพื่ออยากได้นั่นอยากได้นี่ ความอยากนั้นย่อมพานักปฏิบัติไปสู่ภพสู่ชาติอยู่เรื่อยไป ไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น"  โดยมีปลายทางอยู่ที่พระนิพพานอันเป็นจุดหมายสูงสุดตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่จริงและเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันไม่ต้องรอชาติหน้าชาติไหน

        ดังที่หลวงปู่ชาสอนว่า
       "นิพพานก็อยู่กับวัฎฎสงสาร วัฎฎสงสารก็อยู่กับนิพพาน เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็นมันก็ร้อน"
        ทุกคนเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติของตัวเอง ตามคติธรรมของท่านที่ว่า
   "ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย"

Pages