วันเสาร์, เมษายน 21, 2555

เรื่องเล่าระหว่างทางธุดงค์ของหลวงปู่ชา

เรื่องเล่าระหว่างทางธุดงค์ของหลวงปู่ชา

พระธุดงค์ : สู้ความกลัวในป่าช้า กล้านอนขวางทางเสือ

   ในระหว่างทางธุดงค์จาริก คราวหนึ่งท่านผ่านไปพักวิเวกอยู่ที่ป่าช้าวัดโปร่งคลอง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ชาวบ้านหามศพมาเผาใกล้ ๆ ที่ปักกลด ซึ่งทำให้พระชากลัวมาก ตกดึกคืนนั้นขณะทำความเพียรอยู่ภายในกลดก็ได้ยินเสียงเดินหนัก ๆ ตรงเข้ามาเหมือนจะเหยียบพระ มาหยุดอยู่ที่หน้ากลด แล้วรู้เหมือนมือที่ถูกไฟไหม้นั้นคว้าไปมาอยู่ตรงหน้า ท่านเล่าว่ากลัวจนไม่มีอะไรจะเปรียบ
   กลัวมากจนหมดความกลัว
   "ปานฝ่ามือกับหลังมือเราพลิกกลับ อัศจรรย์เหลือเกิน ความกลัวมาก ๆ มันหายไปได้ ความไม่กลัวมันกลับมาแทนในที่เดียวกันนี้ โอ ใจมันสูงขึ้น สูงขึ้นเหมือนอยู่บนฟ้านะ เปรียบไม่ถูก"
   แล้วลมฝนก็โหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนท่านเปียกโชกไปหมด
   เช้ามาท่านลุกจากกลดออกไปปัสสาวะ ปรากฎว่าปัสสาวะออกมามีแต่เลือด เพราะปวดมาแต่กลางคืน
   ท่านตกใจว่าข้างในคงฉีกขาด แต่ก็ปลงใจว่า "ตายก็ตายช่างมัน จะทำอย่างไรได้ ตายก็ดี ตายเพราะบำเพ็ญอย่างนี้ ตายเพราะปฏิบัติอย่างนี้ก็พอใจตายแล้ว"
   ต่อมาท่านธุดงค์ไปถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นรอยทางเก่าก็นึกถึงคำสอนของคนโบราณที่ว่า เข้าป่าอย่านอนขวางทางเก่า ก็อยากจะพิสูจน์ให้เห็นจริง จึงปักกลดขวางทางเก่า จากนั้นก็นอนตะแคงหไสยาสน์ภายในกลด หันหลังให้ป่า หันหน้าไปทางหมู่บ้าน
   ขณะที่กำลังนอนกำหนดลมหายใจอยู่ หูก็แว่วได้ยินเสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ๆ ใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงลมหายใจและกลิ่นสาบสางที่ฟุ้งกระจายมากับสายลม ท่านยังคงนอนนิ่งอยู่ทั้งที่รู้ดีว่าเสียงและกลิ่นเช่นนี้ จะเป็นสัตว์อย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเสือ!
   จิตหนึ่งก็ห่วงชีวิตจนตัวสั่นหวั่นไหว แต่กลัวอยู่ไม่นาน จิตของนักต่อสู้ก็ออกมาแย้งและให้เหตุผลว่า
    อย่าห่วงมันเลยชีวิตนี้ แม้ไม่ถูกเสือกัดตาย เราก็ต้องตายอยู่แล้ว การตายขณะเดินตายรอยพระศาสดานี้ ชีวิตย่อมมีความหมาย เราขอเป็นอาหารของเสือ หากว่าเราเคยกินเลือดกินเนื้อกันมา จะได้ชดใช้หนี้ให้หมดกันไป แต่หากไม่เคยเป็นคู่เวรคู่กรรม มันคงไม่ทำอะไรเรา
   เสียงเสือหยุดลง ได้ยินเสียงลมหายใจอยู่ห่าง ๆ สักครู่มันก็หันหลังกลับ เดินเหยียบใบไม้แห้งกรอบแกรบหายเข้าป่าไป
    พระหนุ่มจึงได้คำตอบว่าทำไมคนโบราณจึงห้ามนอนขวางทางเก่า
     และได้ข้อคิดว่า เมื่อเราทอดอาลัยในชีวิต ปล่อยวางมันเสีย ไม่เสียดาย ไม่กลัวตาย ทำให้เกิดความเบาสบาย สติปัญญาเฉียบคมขึ้นเป็นเงาตามตัว จิตเกิดความกล้าหาญไม่สะทกสะท้านสิ่งใด
   ยาวนานนับสิบพรรษากับการปฏิบัติธุดงค์กัมมัฎฐาน บำเพ็ญสมณธรรมขั้นอุกฤษฎ์ หลวงปู่ชามีข้อธรรมในการอบรมสั่งสอนศิษย์ในชั้นหลังว่า
   "ถ้าเราเรียนปริยัติ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ ก็ไม่ได้รับผลเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่เคยได้กินนมโคฉันนั้น"

โอวาทธรรมคำสอน จากหลวงปู่ชา สุภัทโท

โอวาทธรรมคำสอน จากหลวงปู่ชา สุภัทโท
พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2555  สถานที่: พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง

     "ให้เลิกความรู้สึกรักและชังในบุคคลทั้งหลาย
 อย่าอยู่ด้วยความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ
         รู้จักดีและชั่วแล้วเลิกยึดดียึดชั่วเสียด้วย"

พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
 ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2555  สถานที่: พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง

การนั่งสมาธิ นั่งให้ตัวตรง อย่าเงยหน้า
มากเกินไป อย่าก้มหน้าเกินไป เอาขนาดพอดี
เหมือนพระพุทธรูปนั่นแหละมันจึงสว่างไสวดี
ครั้นจะเปลี่ยนอริยาบถก็ให้อดทนจนขีดสุดเสียก่อน
ปวดก็ให้ปวดไป อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยน อย่าคิดว่า
"บ๊ะ ไม่ไหวแล้ว พักก่อนเถอะน่า"
อดทนมันจนปวดถึงขนาดก่อน พอมันถึงขนาดนั้นแล้ว
ก็ให้ทนต่อไปอีก ทนต่อไป ๆ จนมันไม่มีแก่ใจ
จะว่า "พุทโธ" เมื่อไม่ "พุทโธ" ก็เอาตรงที่มันเจ็บ
นั้นแหละมาแทน "อุ๊ย เจ็บ เจ็บแท้ ๆ หนอ"
เอาเจ็บนั้นมาเป็นอารมณ์แทน "พุทโธ" ก็ได้
กำหนดให้ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ นั่งไปเรื่อย
ดูซิว่าเมื่อปวดจนถึงที่สุดแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น
พระพุทธเจ้าท่านว่า มันเจ็บเอง มันก็หายเอง
ให้มันตายไป ก็อย่าเลิก บางครั้งมันเหงื่อแตก
เม็ดโป้ง ๆ เท่าเม็ดข้าวโพดไหลย้อยมาตามอก
ถ้าครั้นทำจนมันได้ข้ามเวทนาอันหนึ่งแล้ว
มันก็รู้เรื่องเท่านั้นแหละ ให้ค่อยทำไปเรื่อย ๆ
อย่าเร่งรัดตัวเองเกินไป

Pages