วันอาทิตย์, พฤษภาคม 13, 2555

สัตว์ป่าที่ต้องสงวนและคุ้มครอง 15 ชนิด

สัตว์ป่าที่ต้องสงวนและคุ้มครองมี 15 ชนิด

       โลกเรานี้ไม่ใช่เป็นเพียงที่อยู่ของคนแต่ที่จริงมันเป็นของสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายตั้งแต่เชื้อจุลชีพ กระทั่งพืช และสัตว์ใหญ่น้อย
และเราก็ปฏิเสธมันเพื่อที่จะครอบครองโลกเพียงลำพังมนุษย์นั้นไม่ได้ด้วย สัตว์ป่าทุกชนิดล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของป่า ป่าเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมบนผิวโลกที่คนเราใช้อาศัยอยู่ ทุกอย่างเกื้อกูลกันตามธรรมชาติ
          สำหรับประเทศไทยเรามีกฎหมายเพื่อสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าหายาก เรียกว่า สัตว์ป่าสงวน
          สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าที่หายากใกล้จะสูญพันธุ์ หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเข้มงวดกวดขันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตอยู่หรือซากสัตว์ป่า ซึ่งอาจจะตกไปอยู่ยังต่างประเทศด้วยการซื้อขาย
          สัตว์ป่าสงวนของไทยเรามีทั้งสิ้นรวมเป็น ๑๕ ชนิด ได้แก่
          นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ชื่ออื่น นกตาพอง เป็นนกนางแอ่นชนิดหนึ่ง ขนาดวัดจากปลายจะงอยปากถึงโคนหางยาวประมาณ ๑๕ ซม. พบบริเวณบึงบรเพ็ด จ.นครสวรรค์ เพียงแห่งเดียวในโลก
          แรด ชื่ออื่น แรดชวา ในอดีตแรดเคยหากินอยู่ทั่วพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่เบงกอลมาทางตะวันออกจนถึงพม่า ไทย กัมพูชา ลาว เรื่อยไปจนถึงเวียดนาม ทางใต้ก็แผ่คลุมพื้นที่ตลอดคาบสมุทรมลายู รวมถึงเกาะสุมาตราและชวา ทางเหนือก็มีเขตหากินไปไกลถึงมณฑลหูหนานและเสฉวน
           กระซู่ ชื่ออื่น แรดสุมาตรา เป็นแรดพันธุ์เล็กที่สุดในบรรดาแรด ๕ ชนิดของโลก มี ๒ นอ ความสูงที่ระดับไหล่ ๑.๐-๑.๔ เมตร น้ำหนัก ๙๐๐ – ๑๐๐๐ กิโลกรัม มีขนปกคลุมทั้งตัว ปีนเขาเก่ง
           เลียงผา เป็นสัตว์กีบคู่ มีเขาจำพวกแพะ อาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้าผาหรือถ้ำ สามารถเคลื่อนที่ในที่สูงชันอย่างว่องไวและปราดเปรียวมาก สามารถว่ายน้ำข้ามระหว่างเกาะกับแผ่นดินได้
            สมัน ชื่ออื่น เนื้อสมัน  เป็นกวางขนาดกลาง ความสูงระดับไหล่ ๑ เมตร ได้ชื่อว่ามีเขาสวยที่สุด การแตกแขนงของเขาเมื่อโตเต็มวัยจะมีลักษณะคล้ายสุ่มที่หงายขึ้น จึงเรียกว่า “กวางเขาสุ่ม”
             กูปรี ชื่ออื่น วัวเขาเกลียว,โคไพร เป็นสัตว์ป่าตระกูลเดียวกับกระทิงและวัวแดง น้ำหนักประมาณ ๗๐๐ – ๙๐๐ กิโลกรัม อยู่รวมกันเป็นฝูง ๒ – ๒๐ ตัว มีลักษณะพิเศษคือ ตัวผู้ที่โตเต็มที่มักจะมีปลายเขาที่แตกเป็นพู่
             นกแต้วแล้วท้องดำ ขนาดลำตัววัดจากจะงอยปากถึงโคนหางยาว ๒๑ เซนติเมตร ชอบกินไส้เดือน ส่งเสียงร้อง “วัก วัก” เพื่อประกาศอาณาเขตและร้องหาคู่ ส่งเสียงร้อง “แต้ว แต้ว” ขณะตกใจ
             ควายป่า ชื่ออื่น มหิงสา เป็นบรรพบุรุษของควายบ้าน ขนาดของลำตัวใหญ่กว่าควายบ้าน รอบคอด้านหน้ามีรอยสีขาว เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวหงายอยู่  เรียกว่า “รอยเชียดคอ” ขาทั้งสี่มีสีขาวเหมือนใส่ถุงเท้า
             แมวลายหินอ่อน เป็นแมวป่าขนาดกลาง น้ำหนักประมาณ ๔-๕ กิโลกรัม อยู่ในป่าดงดิบและป่าดิบชื้น ชอบอยู่บนต้นไม้ หากินในเวลากลางคืน อาหารได้แก่ แมลง งู นกหนู และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก
              กวางผา ชื่ออื่น ม้าเทวดา มีลักษณะคล้ายแพะ น้ำหนักประมาณ ๒๐-๓๒ กิโลกรัม มีขาแข็งแรงสามารถกระโดดตามชะง่อนผมได้อย่างว่องไว และแม่นยำ พบตามยอดเขาสูงชัน สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า ๑,๐๐๐ เมตร ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี
               เก้งหม้อ ชื่ออื่น เก้งดำ, กวางจุก เป็นเก้งที่มีสีคล้ำกว่าเก้งธรรมดา ทางด้านบนสีดำตัดกับสีขาวด้านล่างชัดเจน บริเวณโคนเขามีขนยาวแน่นและฟูเป็นกระจุก ชอบอาศัยอยู่เดี่ยว ๆ ในป่าดงดิบตามลาดเขา
               สมเสร็จ ชื่ออื่น ผสมเสร็จ เป็นสัตว์หากินกลางคืน น้ำหนักประมาณ ๒๕๐-๓๐๐ กิโลกรัม มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นและเสียงดีมาก มีจมูกเหมือนงวงช้าง รูปร่างเหมือนหมู เท้าเหมือนแรด จึงเรียกว่าผสมเสร็จหรือสมเสร็จ
                พะยูน ชื่ออื่น หมูน้ำ, ปลาพะยูน สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม น้ำหนักประมาณ ๓๐๐ กิโลกรัม ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง กินหญ้าทะเลตามบริเวณน้ำตื้นใกล้ชายฝั่ง
ละอง ละมั่ง  ละอง เป็นชื่อเรียกตัวผู้ ส่วนละมั่งเป็นชื่อเรียกตัวเมีย ความสูงที่ระดับไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร น้ำหนักประมาณ ๙๕-๑๕๐ กิโลกรัม ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ  

                      ทั้ง ๑๕ ชนิด ใครได้เห็นก็เรียกว่า นับเป็นบุญโขแล้ว

ที่มา : จากคอลัมน์ Living Together , นิตยสาร Together magazine ฉบับที่ 30 เมษายน 2012
   

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 03, 2555

ความสำคัญในนาม ปรีดี พนมยงค์


ความสำคัญในนาม ปรีดี พนมยงค์ 

    วันปรีดี พนมยงค์ ตรงกับวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันเกิด ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล เมือ ค.ศ. ๒๐๐๐ ได้รับการประกาศยกย่องจากยุเสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกและได้มีการบรรจุชื่อไว้ในปฏิทินเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของยูเนสโก
   ถนนประดิษฐ์มนูธรรม  เป็นถนนเลียบทางพิเศษฉลองรัช กรุงเทพฯ มีความยาว ๑๒ กิโลเมตร
   ถนนปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ ๓ สาย คือที่ถนนสุขุมวิท ๗๑  ถนนใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยา และภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
    สะพานปรีดี – ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสักอันเป็นทางเข้าออกหลักของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ตั้งตามชื่อนาย ปรีดี พนมยงค์ และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
     อนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ ตั้งอยู่ ๒ แห่ง คือ บริเวณลานหน้าตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ และหน้าอาคารยิมเนเซียม ๒ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
     อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ ๒ ที่คือบริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของนายปรีดี จ. พระนครศรีอยุธยาและห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
     สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท ๕๕
     หอสมุดปรีดี พนมยงค์ เป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
     ปรีดีคีตานุสรณ์ คือ บทเพลงซิมโฟนีหมายเลข ๔ ประพันธ์โดยคีตกวี สมเถา สุจริตกุล ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์
      วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
      คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ คณะนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต
       นกปรีดี (Chloropsis Aurifrons Pridii) เป็นชื่อนกชนิดย่อยของนกเขียวก้านทองหน้าผากสีทอง ที่สถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙
          ปลาปล้องทองปรีดี (Schistura Pridii) เป็นปลาที่ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖ พบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

ที่มา : จากคอลัมน์ Someone Special  ของ Together MagaZine  ปีที่ 3 ฉบับที่ 30 เมษายน 2555

ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีคนที่ 7 ของไทย

ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม 

      ปรีดี พนมยงค์ ผู้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ด้านการเมืองการปกครองของไทยช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือราว 70 ปี ที่ผ่านมา
    แม้ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ที่มีอายุสูงวัยกว่านั้นหรือเกิดก่อนนั้นคงจะมีน้อยเต็มที หลายท่านก็ยังคงเป็นเด็กเกินกว่าที่จะรับรู้เรื่องการเมือง...ทว่านาม ปรีดี พนมยงค์ นามนี้ดูเหมือนว่าชาวไทยแทบทุกวัยในวันนี้จะคุ้นเคย แต่ก็อาจจะยังไม่รู้จักมักจี่กันดีว่า  ท่านผู้นี้คือใครกัน
          นายกรัฐมนตรีคนที่ ๗  ตำแหน่งนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้นาม ปรีดี พนมยงค์ ยังคงเป็นอมตะมาจนทุกวันนี้
          หนึ่งในกลุ่มคณะราษฎร ผู้นำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย ผู้ประสานงานขบวนการเสรีไทยในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นคนแรก ซึ่งฐานะหลังนี้เองที่ยิ่งสนับสนุนให้ท่านโดดเด่นในวงการการเมืองการปกครองของไทยเป็นอย่างยิ่ง  เพราะศิษย์จากรั้วมหาวิทยาลัยนี้นับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างสูงในการปกครองประเทศไทยตลอดมา
          ประวัติ: ท่านเป็นชาวกรุงเก่า หรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเรือนแพย่านวัดพนมยงค์ ลูกชาวนาชาวสวนที่มีฐานะดี สอบไล่ที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ได้เป็นเนติบัณฑิตสยาม เมื่ออายุเพียง ๑๙ ปี จากนั้นก็ได้รับทุนไปศึกษาต่อวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส ได้รับปริญญาทางกฎหมาย และได้ “ลิซองซิเอ ทางกฎหมาย” จากนั้นศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส ได้ดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมาย ( Docteur en Droit) ฝ่ายเนติศาสตร์ และประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐศาตร์ จากมหาวิทยาลัยปารีส
           หลังจากกลับประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ นายปรีดี พนมยงค์ได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรม แล้วย้ายไปเป็นเลขานุการกรมร่างกฎหมายและเป็นอาจารย์สอนกฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมาย จนกระทั่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น อำมาตย์ตรีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒
           หลวงประดิษฐ์มนูธรรมรับเป็นหัวหน้าสายพลเรือน เป็นผู้รับผิดชอบ ในการร่างแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญการปกครอง และเป็นผู้ดูแลการบริหารราชการหลังการปฏิวัติ และในที่สุดการปฏิวัติก็ประสบผลสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยอมรับเงื่อนไขของคณะราษฎร ที่จะให้มีการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ และจำกัดอำนาจการบริหารของพระมหากษัตริย์ และให้มีรัฐสภา และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เมื่อก่อตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของไทยชุดแรกสำเร็จ ท่านเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลด้วย
            เมื่อถึงช่วง พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นเสนอรัฐบาล แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ และถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องเดินทางออกนอกประเทศ กระทั่งต่อมาไม่นานพันเอกพระยาพหลพล-พยุหเสนาทำรัฐประหารอีกครั้งและได้ตั้งคณะกรรมการ สอบสวนคดีดังกล่าวปรากฎว่า นายปรีดี พนมยงค์ ไม่มีมลทิน และนายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
             ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และท่านยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ภายใต้การนำของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับ แต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส
           นายปรีดี พนมยงค์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ ๗ ของไทย เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ และช่วงที่ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น  ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือ ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้เกิดกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วยพระแสงปืน  นายปรีดี พนมยงค์ และรัฐบาลของเขาถูกโจมตีอย่างหนักว่าปิดบังและอำพรางความจริงในกรณีสวรรคต รวมทั้งไม่สามารถหาข้อเท็จจริงในการสวรรคตมาแจ้งให้ประชาชนทราบได้ ในที่สุดนายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
          ต่อมามีรัฐประหารอีกครั้ง นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนีไปพำนักอยู่ที่มาเลเซีย จนลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในจีน กระทั่งถึงแก่สัญกรรมด้วยโรคหัวใจวายที่บ้านพักชานกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ รวมอายุได้ ๘๓ ปี

ที่มา : จากคอลัมน์ Someone Special  ของ Together MagaZine  ปีที่ 3 ฉบับที่ 30 เมษายน 2555

วันพุธ, พฤษภาคม 02, 2555

เฟิร์นและมอส ฟอสซิลมีชีวิตจากยุคดึกดำบรรพ์

เฟิร์นและมอสเผ่าพันธุ์พฤกษาล้านปีสีเขียว
รูปภาพ เฟินเขากวาง
รูปภาพ เฟินเขากวาง
            เฟิร์น Fern จะสร้างสปอร์ไว้ที่ใต้ท้องของใบ สปอร์ของเฟินเป็นผงสีน้ำตาล อาจเรียงรายเป็นรูปวงกลม หรือ เป็นขีด เป็นเส้น มันใช้สปอร์นี้ในการขยายพันธุ์ เมื่อสปอร์มีขนาดและอายุได้ที่ก็จะแตกตัวออก ปลิวกระจายไปในอากาศ หรือติดไปตามแข้งขา ลำตัวสัตว์ แพร่กระจายสายพันธุ์ แตกหน่อเกิดเฟินต้นใหม่ในที่ต่าง ๆ ในสภาพธรรมชาติ เฟินมักจะมีมดอาศัยทำรังอยู่ด้วย และมดก็ชอบที่จะกินสปอร์เฟินเป็นอาหาร ทว่าอาหารอื่น ๆ ที่มดสะสมไว้ในรังของมันก็ยังเป็นสารอาหารชั้นดีให้แก่เฟินด้วย 
รูปภาพมอส
 รูปภาพมอส
              มอส Moss ญาติดึกดำบรรพ์ของเฟิน ในอาณาจักรพืชเราเรียกพวกมันว่า Pteridophyta เติบโตขยายเผ่าพันธุ์ร่วมยุคสมัยหลายร้อยล้านปีมาด้วยกัน  มอสและเฟินเป็นพืชกลุ่มแรก ๆ ของโลก พวกมันมีคลอโรฟิลล์สีเขียวสังเคราะห์แสงสร้างอาหารได้โดยลำพังไม่ต้องง้ออาหารจากใคร มอสไม่ถูกจัดอยู่ในสารบบพืชชั้นสูง เพราะมันไม่มีราก ไม่มีลำต้น และไม่มีใบที่แท้จริง อีกทั้งยังปราศจากดอกจึงต้องแพร่พันธุ์ด้วยสปอร์ โดยอาศัย ลม น้ำ หรือแมลงพาไป ขณะเดียวกัน เฟิน ถือว่ามีวิวัฒนาการที่สูงกว่า แม้ว่ายังต้องสืบพันธุ์ด้วยสปอร์อยู่ แต่มันก็มีรากที่แท้จริง ลำต้นมีท่อน้ำเลี้ยงและส่งอาหาร บางชนิดมีลำต้นแบบเดียวกันกับต้นไม้ใหญ่ ลักษณะคล้ายพวกปาล์ม อย่าง เฟินต้น หรือ              Tree Fern
            ทั่วโลกพบเฟินมากกว่า 15,000 ชนิด 400 สกุลในธรรมชาติ เฟินหลายชนิดนอกจากเป็นอาหารที่แสนอร่อยให้แก่คนเราแล้ว มันยังเป็นพรรณไม้ประดับที่นักจัดสวนชื่นชอบ อย่าง เฟินข้าหลวงที่แตกพุ่มใบกว้างใหญ่เขียวสดใส หรือ เฟินกระแตไต่ไม้ที่เลื้อยไต่เกาะตามลำต้นไม้ส่งก้านใบทั้งชูช่อและห้อยระย้าอย่างงดงาม รวมทั้งมอสที่เรียกว่าเลี้ยงดูให้ไม่แห้งตายนั้นยากยิ่ง นักจัดสวนหลายคนก็ชื่นชอบโดยเฉพาะสวนริมน้ำตกที่สร้างขึ้นเลียนแบบธรรมชาติ
              ความหลากหลายชนิดของเฟินและมอส ทำให้เราสามารถพบเห็นมันได้ทั่วทั้งบริเวณป่าที่สมบูรณ์ ทั้งในน้ำ บริเวณชุ่มน้ำ ตามโคนต้นไม้ หรือบนคาคบไม้สูงเกินเอื้อม บนผิวแผ่นผา รวมทั้งขึ้นแซมซอกโขดหินริมลำธาร ที่มีมอสเขียวขจีปกคลุมก้อนหินนั้นอยู่ด้วย
              เฟินและมอส เป็นสีเขียวอมตะแห่งผืนป่า ความชุ่มชื้นอุดมทำให้พวกมันมีสีเขียวสด ความเขียวสดของมันก็เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเก็บกักน้ำเอาไว้ให้ผืนป่านั้นด้วย มอสอาจเกาะลำต้นไม้ กิ่งไม้ จนถึงโคนรากอย่างหนาแน่นจนดูว่าต้นไม้นั้นมีขนสีเขียวปกคลุม มันก็ไม่ได้ส่งรากแยงเข้าไปในเนื้อต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นเพื่อแย่งอาหาร เหมือนกับพวกกาฝากมันจึงไม่เพียงคลุมต้นไม้ให้ดูงดงาม สร้างป่าให้เขียวขจี มอสยังช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับต้นไม้ต้นนั้น
              เฟินและมอสเกาะอิงอาศัยต้นไม้ใหญ่ไม่เพียงช่วยสร้างความชุ่มชื้น มันยังช่วยสร้างโลกให้งดงาม เสริมสร้างบรรยากาศสดใสบริสุทธิ์  ท่องจำไว้ให้ดีว่า เฟินและมอสที่เกาะอยู่ตามลำต้นไม้ทั้งในป่าในสวนหน้าบ้าน หรือสวนหลังบ้าน มันไม่ได้ทำให้ต้นไม้ตายหรือเหี่ยวเฉา เพราะมันแค่อาศัยเกาะ อาศัยชูช่อเลื้อยเพื่อขยายตัวเติบโต ไม่แทงรากดูดกินอาหารจากลำต้นไม้เลย....อย่าเผลอไผลไปตัดมันทิ้งไป

ที่มา : Together Magazine ปีที่ 3 ฉบับที่ 30 เมษายน 2555

วันอังคาร, พฤษภาคม 01, 2555

ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 ณ วัดดอนธาตุ 
    พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๒  ที่จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มชีวิตวัยเยาว์ในถิ่นที่เกิด จนกระทั่งใน พ.ศ.๒๔๓๕ จึงอุปสมบท ณ วัดใต้ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาได้ยัติเป็นธรรมยุติที่วัดศรีทอง(วัดศรีอุบลรัตนารามในปัจจุบัน) และจำพรรษา ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี
       พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เป็นพระภิกษุที่จำเริญธรรมในสายวิปัสสนากรรมฐาน ฝ่ายธรรมยุต เป็นต้นแบบแก่หมู่พระสงฆ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยการบำเพ็ญธุดงควัตร ซึ่งพระสงฆ์และฆราวาสในสมัยนั้นต่างให้ความศรัทธาเลื่อมใส ท่านเป็นผู้ที่ชักชวนให้พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อริยสงฆ์สำคัญสายวิปัสสนากรรมฐานของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อครั้งยังเยาว์ อุปสมบท ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานีที่ท่านจำพรรษาอยู่

       หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร แห่งวัดถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลยได้กล่าวถึงพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ว่า "นิสัยชอบก่อสร้าง ชอบปลูกพริก หมากไม้ ลักษณะจิตเยือกเย็น มีพรหมวิหารทำจิตดุจแผ่นดิน มีเมตตาเป็นสาธารณะ เป็นคนพูดน้อย เอื้อเฟื้อในพระวินัย ทำความเพียรเป็นกลางไม่ยิ่งไม่หย่อน พิจารณาถึงขั้นภูมิธรรมละเอียดมาก ภาวนาเปลี่ยนอารมณ์แก้อาพาธได้ ชอบสันโดษ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง หมากไม่กิน บุหรี่ไม่สูบรูปร่างใหญ่สันทัด รักเด็ก อาหารชอบเห็ด ผลไม้ต่าง ๆ น้ำผึ้ง.."
         ในช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๘ - ๒๔๖๑ พระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่นได้บำเพ็ญธุดงควัตรในเขตอำเภอหนองสูง จังหวัดนครพนม ต่อเนื่องจนถึงช่วงหลังออกพรรษา (พ.ศ.๒๔๖๑) จึงกลับไปจำพรรษาที่บ้านหนองลาด อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ร่วมกับพระสงฆ์อีก ๓ องค์ ได้แก่ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สุวรรณ และพระอาจารย์สิงห์
          นับแต่ พ.ศ.๒๔๗๐ พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ได้ดำรงตำแหน่งพระครูวิเวกพุทธกิจ เจ้าอาวาสวัดเลียบและวัดใต้ จนล่วงสู่ปัจฉิมวัย ราว พ.ศ.๒๒๔๘๐ ท่านได้บำเพ็ญธุดงควัตรและเปลี่ยนมาจำพรรษาร่วมกับพระอาจารย์ดี ฉันโน  ณ วัดดอนธาตุ จังหวัดอุบลราชธานี และได้ถึงแก่มรณภาพขณะก้มกราบพระประธานในพระอุโบสถ ณ วัดมหาอำมาตยาราม นครจำปาศักดิ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๔
พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
 ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 ณ วัดดอนธาตุ 
          พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ณ วัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานซึ่งประดิษฐานอัฐิธาตุของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และจัดแสดงอัฏฐบริขาร สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของท่าน อันเกิดจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่ออริยสงฆ์องค์นี้
พิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
  ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555 ณ วัดดอนธาตุ

วันเสาร์, เมษายน 21, 2555

เรื่องเล่าระหว่างทางธุดงค์ของหลวงปู่ชา

เรื่องเล่าระหว่างทางธุดงค์ของหลวงปู่ชา

พระธุดงค์ : สู้ความกลัวในป่าช้า กล้านอนขวางทางเสือ

   ในระหว่างทางธุดงค์จาริก คราวหนึ่งท่านผ่านไปพักวิเวกอยู่ที่ป่าช้าวัดโปร่งคลอง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ชาวบ้านหามศพมาเผาใกล้ ๆ ที่ปักกลด ซึ่งทำให้พระชากลัวมาก ตกดึกคืนนั้นขณะทำความเพียรอยู่ภายในกลดก็ได้ยินเสียงเดินหนัก ๆ ตรงเข้ามาเหมือนจะเหยียบพระ มาหยุดอยู่ที่หน้ากลด แล้วรู้เหมือนมือที่ถูกไฟไหม้นั้นคว้าไปมาอยู่ตรงหน้า ท่านเล่าว่ากลัวจนไม่มีอะไรจะเปรียบ
   กลัวมากจนหมดความกลัว
   "ปานฝ่ามือกับหลังมือเราพลิกกลับ อัศจรรย์เหลือเกิน ความกลัวมาก ๆ มันหายไปได้ ความไม่กลัวมันกลับมาแทนในที่เดียวกันนี้ โอ ใจมันสูงขึ้น สูงขึ้นเหมือนอยู่บนฟ้านะ เปรียบไม่ถูก"
   แล้วลมฝนก็โหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนท่านเปียกโชกไปหมด
   เช้ามาท่านลุกจากกลดออกไปปัสสาวะ ปรากฎว่าปัสสาวะออกมามีแต่เลือด เพราะปวดมาแต่กลางคืน
   ท่านตกใจว่าข้างในคงฉีกขาด แต่ก็ปลงใจว่า "ตายก็ตายช่างมัน จะทำอย่างไรได้ ตายก็ดี ตายเพราะบำเพ็ญอย่างนี้ ตายเพราะปฏิบัติอย่างนี้ก็พอใจตายแล้ว"
   ต่อมาท่านธุดงค์ไปถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง เห็นรอยทางเก่าก็นึกถึงคำสอนของคนโบราณที่ว่า เข้าป่าอย่านอนขวางทางเก่า ก็อยากจะพิสูจน์ให้เห็นจริง จึงปักกลดขวางทางเก่า จากนั้นก็นอนตะแคงหไสยาสน์ภายในกลด หันหลังให้ป่า หันหน้าไปทางหมู่บ้าน
   ขณะที่กำลังนอนกำหนดลมหายใจอยู่ หูก็แว่วได้ยินเสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ๆ ใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงลมหายใจและกลิ่นสาบสางที่ฟุ้งกระจายมากับสายลม ท่านยังคงนอนนิ่งอยู่ทั้งที่รู้ดีว่าเสียงและกลิ่นเช่นนี้ จะเป็นสัตว์อย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเสือ!
   จิตหนึ่งก็ห่วงชีวิตจนตัวสั่นหวั่นไหว แต่กลัวอยู่ไม่นาน จิตของนักต่อสู้ก็ออกมาแย้งและให้เหตุผลว่า
    อย่าห่วงมันเลยชีวิตนี้ แม้ไม่ถูกเสือกัดตาย เราก็ต้องตายอยู่แล้ว การตายขณะเดินตายรอยพระศาสดานี้ ชีวิตย่อมมีความหมาย เราขอเป็นอาหารของเสือ หากว่าเราเคยกินเลือดกินเนื้อกันมา จะได้ชดใช้หนี้ให้หมดกันไป แต่หากไม่เคยเป็นคู่เวรคู่กรรม มันคงไม่ทำอะไรเรา
   เสียงเสือหยุดลง ได้ยินเสียงลมหายใจอยู่ห่าง ๆ สักครู่มันก็หันหลังกลับ เดินเหยียบใบไม้แห้งกรอบแกรบหายเข้าป่าไป
    พระหนุ่มจึงได้คำตอบว่าทำไมคนโบราณจึงห้ามนอนขวางทางเก่า
     และได้ข้อคิดว่า เมื่อเราทอดอาลัยในชีวิต ปล่อยวางมันเสีย ไม่เสียดาย ไม่กลัวตาย ทำให้เกิดความเบาสบาย สติปัญญาเฉียบคมขึ้นเป็นเงาตามตัว จิตเกิดความกล้าหาญไม่สะทกสะท้านสิ่งใด
   ยาวนานนับสิบพรรษากับการปฏิบัติธุดงค์กัมมัฎฐาน บำเพ็ญสมณธรรมขั้นอุกฤษฎ์ หลวงปู่ชามีข้อธรรมในการอบรมสั่งสอนศิษย์ในชั้นหลังว่า
   "ถ้าเราเรียนปริยัติ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ ก็ไม่ได้รับผลเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่เคยได้กินนมโคฉันนั้น"

โอวาทธรรมคำสอน จากหลวงปู่ชา สุภัทโท

โอวาทธรรมคำสอน จากหลวงปู่ชา สุภัทโท
พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2555  สถานที่: พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง

     "ให้เลิกความรู้สึกรักและชังในบุคคลทั้งหลาย
 อย่าอยู่ด้วยความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ
         รู้จักดีและชั่วแล้วเลิกยึดดียึดชั่วเสียด้วย"

พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง
 ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2555  สถานที่: พิพิธภัณฑ์ พระโพธิญาณเถร วัดหนองป่าพง

การนั่งสมาธิ นั่งให้ตัวตรง อย่าเงยหน้า
มากเกินไป อย่าก้มหน้าเกินไป เอาขนาดพอดี
เหมือนพระพุทธรูปนั่นแหละมันจึงสว่างไสวดี
ครั้นจะเปลี่ยนอริยาบถก็ให้อดทนจนขีดสุดเสียก่อน
ปวดก็ให้ปวดไป อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยน อย่าคิดว่า
"บ๊ะ ไม่ไหวแล้ว พักก่อนเถอะน่า"
อดทนมันจนปวดถึงขนาดก่อน พอมันถึงขนาดนั้นแล้ว
ก็ให้ทนต่อไปอีก ทนต่อไป ๆ จนมันไม่มีแก่ใจ
จะว่า "พุทโธ" เมื่อไม่ "พุทโธ" ก็เอาตรงที่มันเจ็บ
นั้นแหละมาแทน "อุ๊ย เจ็บ เจ็บแท้ ๆ หนอ"
เอาเจ็บนั้นมาเป็นอารมณ์แทน "พุทโธ" ก็ได้
กำหนดให้ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ นั่งไปเรื่อย
ดูซิว่าเมื่อปวดจนถึงที่สุดแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น
พระพุทธเจ้าท่านว่า มันเจ็บเอง มันก็หายเอง
ให้มันตายไป ก็อย่าเลิก บางครั้งมันเหงื่อแตก
เม็ดโป้ง ๆ เท่าเม็ดข้าวโพดไหลย้อยมาตามอก
ถ้าครั้นทำจนมันได้ข้ามเวทนาอันหนึ่งแล้ว
มันก็รู้เรื่องเท่านั้นแหละ ให้ค่อยทำไปเรื่อย ๆ
อย่าเร่งรัดตัวเองเกินไป

Pages