วันศุกร์, พฤษภาคม 07, 2564

ความเป็นมาของพระประจำวันเกิด

 ความเป็นมาของพระประจำวันเกิด

พระประจําวันอาทิตย์ ได้แก่ ปางถวายเนตร

เมื่อครั้งพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิ ญาณแล้ว ก็ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (สุขอันเกิดจากความสงบ) อยู่ใต้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นระยะเวลา 7 วัน จากนั้นได้เสด็จไปประทับยืน ณ ที่กลางแจ้งทางทิศอีสานของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทอดพระเนตรต้น พระศรีมหาโพธิ์โดยไม่กระพริบพระเนตรเลยตลอดระยะเวลา 7 วัน ซึ่งเหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปปางนี้เรียกว่า ปางถวายเนตร


ความเป็นมาพระประจําวันจันทร์ ได้แก่ ปางห้ามญาติ หรือ ห้ามสมุทรปางห้ามญาติ

เกิดขึ้นเนื่องจากพระญาติฝ่ายพุทธบิดาคือกรุงกบิลพัสดุ และพระญาติฝ่ายพุทธมารดา คือ กรุงเทวทหะ ซึ่งอาศัยอยู่บน คนละฝั่งของแม่น้ําโรหิณี เกิดทะเลาะวิวาทแย่งน้ําเพื่อไปเพาะปลูกกันขึ้น ถึงขนาดจะยกทัพทําสงครามกันเลยทีเดียว พระพุทธองค์จึงต้องเสด็จไป เจรจาห้ามทัพ คือ ห้ามพระญาติมิให้ฆ่าฟันกัน


ความเป็นมาพระประจําวันจันทร์ห้ามสมุทร

ส่วนปางห้ามสมุทรเป็นพุทธประวัติ ตอนเสด็จไปโปรดพวก ชฏิล (นักบวชประเภทหนึ่งที่นุ่งห่มหนังเสือ และนิยมบูชาไฟ) 3 พี่น้องได้แก่ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ริมฝั่งแม่น้ํา เนรัญชราพร้อมบริวาร 1,000 คน โดยได้แสดงพุทธปาฏิหารย์หลายอย่าง เพื่อทําลายทิฏฐิมานะของชฏิลทั้งหลาย เช่น ห้ามลม ห้ามฝน ห้ามพายุ และห้ามน้ําท่วมที่เพิ่งนองตลิ่งมิให้มาต้องพระวรกายได้ อีกทั้งยังสามารถเดิน จงกรมอยู่ใต้พื้นน้ําได้ ทําให้พวกชฏิลเห็นเป็นที่อัศจรรย์ และยอมบวชเป็นพุทธสาวก


พระประจําวันอังคาร ได้แก่ ปางโปรดอสุรินทปางไสยาสน์ หรือบางทีก็เรียก ปางปรินิพพาน

เป็นพุทธประวัติตอนที่พระพุทธองค์ได้รับสั่งให้พระจุนทะเถระปูอาสนะลงที่ ระหว่างต้นรังคู่หนึ่ง แล้วทรงประทับบรรมทมแบบสีหไสยา ตั้งพระทัยสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายพากัน เศร้าโศก ร่ําไห้ คร่ําครวญถึงพระองค์ พระอานนท์และพระอนุรุทธเถระ ได้แสดงธรรมเพื่อปลอบโยนมหาชน พุทธศาสนิกชนเมื่อรําลึกถึงการ เสด็จปรินิพพานของพระองค์ จึงได้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้น เพื่อบูชา พระพุทธองค์


ความเป็นมาพระประจําวันพุธ (กลางวัน) ได้แก่ ปางอุ้มบาตร

เมื่อพระพุทธเจ้าได้สําแดงอิทธิปาฏิหารย์ เหาะขึ้นไปในอากาศต่อ หน้าพระประยูรญาติทั้งหลาย เพื่อให้พระญาติผู้ใหญ่ได้เห็น และละทิฐิถวาย บังคมแล้ว จึงได้ตรัสเทศนาเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก ครั้นแล้วพระญาติ ทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับโดยไม่มีใครทูลอาราธนาฉันพระกระยาหารเช้าในฉันภัตตาหารที่จัดเตรียมไว้ในพระราชนิเวศน์เอง แต่พระพุทธองค์กลับพา พระภิกษุสงฆ์สาวกเสด็จจาริกไปตามถนนหลวงในเมือง เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ (ผู้ที่พึงสั่งสอนได้)อันเป็นกิจของสงฆ์


พระประจําวันพุธ (กลางวัน) ได้แก่ ปางอุ้มบาตร (ต่อ)

และนับเป็นครั้งแรกที่ชาวเมืองกบิลพัสดุได้มีโอกาสชมพระ พุทธจริยาวัตรขณะทรงอุ้มบาตรโปรดสัตว์ ประชาชนจึงต่างแซ่ซ้อง อภิวาทอย่างสุดซึ้ง แต่ปรากฏว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาทรงทราบ เข้า ก็เข้าใจผิดและโกรธพระพุทธองค์ หาว่าออกไปขอทานชาวบ้าน ไม่ ฉันภัตตาหารที่เตรียมไว้ พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงอธิบายว่า การออก บิณฑบาตรเป็นการไปโปรดสัตว์ มิใช่การขอทาน จึงเป็นที่เข้าใจกันในที่สุด


พระประจําวันพุธ (กลางคืน) ได้แก่ ปางป่าเลไลยก์

สําหรับปางนี้กล่าวถึงเมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี ครั้นนั้นพระภิกษุมีมากรูปด้วยกัน และไม่สามัคคีปรองดอง ไม่อยู่ในพุทธ โอวาท ประพฤติตามใจตัว พระองค์จึงเสด็จจาริกไปอยู่ตามลําพังพระองค์ เดียวในป่าที่ชื่อว่าปาลิไลยกะ โดยมีมีพญาช้างเชือกหนึ่งชื่อ "ปาลิไลย กะ" เช่นเดียวกัน มีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ มาคอยปฏิบัติบํารุงและคอย พิทักษ์รักษามิให้สัตว์ร้ายมากล้ํากราย ทําให้พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ใน ป่านั้นด้วยความสงบสุข และป่านั้นต่อมาก็ได้ชื่อว่า "รักขิตวัน" ครั้นพญาลิง เห็นพญาช้างทํางานปรนนิบัติ


ความเป็นมาพระประจําวันพฤหัสบดี ได้แก่ ปางสมาธิ หรือ ปางตรัสรู้

ปางตรัสรู้ คือ ปางที่เจ้าชายสิทธัตถะหรือพระโพธิสัตว์ทรงประทับ ขัดสมาธิบนบัลลังก์หญ้าคาใต้ต้นมหาโพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ําเนรัญชรา และได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อวันเพ็ญขึ้น  15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ซึ่งก็ตรงกับวันวิสาขบูชานั่นเอง


ความเป็นมา พระประจําวันศุกร์ ได้แก่ ปางรําพึง

ภายหลังจากที่ตรัสรู้ได้ไม่นาน พระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ภายใต้ต้นไทร (อช ปาลนโครธ) ก็ได้ทรงรําพึงพิจารณาถึงธรรมที่ตรัสรู้ว่าเป็นธรรมที่มีความละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่มนุษย์ปุถุชนจะรู้ตามได้ จึงเกิดความท้อพระทัยที่จะไม่สั่งสอนชาวโลก ด้วยรําพึงว่าจะมีใครสักกี่คนที่ฟังธรรมะของพระองค์เข้าใจ ร้อนถึงท้าวสหัมบดีพรหม ได้มากราบทูลอาราธนาเพื่อทรงแสดงธรรมว่าในโลกนี้บุคคลที่มีกิเลสเบาบางพอฟังธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน ว่าตรัสรู้แล้วก็ย่อมแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกเพื่อ ประโยชน์สุขแก่ชนทั้งปวง จึงได้น้อมพระทัยในอันที่จะแสดงธรรมต่อชาวโลกตามคําอาราธนานั้น และตั้งพุทธปณิธานจะใคร่ดํารงพระชนม์อยู่จนกว่าจะได้ประกาศ พระพุทธศาสนา ให้แพร่หลายประดิษฐานให้มั่นคง


ความเป็นมาพระประจําวันเสาร์ ได้แก่ ปางนาคปรก

เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ และประทับบําเพ็ญสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอันเกิด จากความพ้นกิเลสอยู่ ณ อาณาบริเวณที่ไม่ไกลจากต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งละ 7 วัน นั้น ในสัปดาห์ที่ 3 นี้เอง ก็ได้ไปประทับใต้ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก) ขณะนั้นฝนได้ตกลง มาไม่หยุด พญานาคตนหนึ่งชื่อ "มุจลินท์นาคราช" ก็ได้ขึ้นมาแสดงอิทธิฤทธิ์เข้าไป วงขนด 7 รอบ แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าไว้มิให้ฝนตกต้องพระวรกาย เหมือนกั้นเศวตฉัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์มิให้ฝนและลมหนาว สาดต้องพระวรกาย ทั้งป้องกันเหลือบ ยุง รุ้ง ร่าน ริ้น และสัตว์เลื้อยคลานทั้งมวล ด้วย จนฝนหาย จึงได้แปลงร่างเป็นมาณพเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์



พระประจําวันเกิด

 พระประจําวันเกิด

พระประจําวันอาทิตย์ ได้แก่ ปางถวายเนตร

ลักษณะพระพุทธรูป : พระพุทธรูปที่อยู่ใน พระอริยาบถยืน ลืมพระเนตรทั้งสองเพ่งไปข้างหน้า พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงมาประสานกันอยู่ระหว่างพระ เพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาซ้อนเหลื่อมพระหัตถ์ซ้าย อยู่ ในพระอาการสังวรทอดพระเนตรดูต้นพระศรีมหา โพธิ์


พระประจําวันเกิด

พระประจําวันจันทร์ ได้แก่ ปางห้ามญาติ หรือ ห้ามสมุทร

ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระ อริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาห้าม เป็นปางเดียวกันกับปางห้ามสมุทร ต่างกันตรงที่ปาง ห้ามญาติจะยกมือขวาขึ้นห้ามเพียงมือเดียว ส่วนปาง ห้ามสมุทร จะยกมือทั้งสองขึ้นห้าม แต่ส่วนใหญ่มักจะ นิยมสร้างเป็นปางห้ามญาติ และนิยมทําเป็นแบบพระ ทรงเครื่อง


พระประจําวันเกิด

พระประจําวันอังคาร ได้แก่ ปางโปรดอสุรินทราหู

หรือ ปางไสยาสน์ หรือ ปางปรินิพพาน

ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูป อยู่ในพระอริยาบถนอนตะแคงขวา พระบาททั้งสองข้างซ้อนทับเสมอกัน พระหัตถ์ซ้ายทาบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาตั้งขึ้นรับพระเศียรและมี พระเขนย (หมอน) รองรับ บางแบบ พระเขนยวางอยู่ใต้พระกัจฉะ (รักแร้)


พระประจําวันเกิด

พระประจําวันพุธ (กลางวัน) ได้แก่ ปางอุ้มบาตร

ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระ อริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตรราวสะเอว


พระประจําวันเกิด

พระประจําวันพุธ (กลางคืน) ได้แก่ ปางป่าเลไลยก์

ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระ อริยาบถประทับ (นั่ง) บนก้อนศิลา พระบาททั้งสอง วางบนดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ําบนพระขนุ (เข่า) พระหัตถ์ขวาวางหงาย นิยมสร้างช้างหมอบใช้งวงจับ กระบอกน้ํา อีกด้านหนึ่งมีลิงถือรวงผึ้งถวาย


พระประจําวันเกิด

พระประจําวันพฤหัสบดี ได้แก่ ปางสมาธิ หรือ ปางตรัสรู้

ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระ อริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองวาง หงายซ้อนกันบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาทับพระ หัตถ์ซ้าย พระชงฆ์ (แข้ง) ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย


พระประจําวันเกิด

พระประจําวันศุกร์ ได้แก่ ปางรําพึง

ลักษณะพระพุทธรูป: พระพุทธรูปอยู่ในพระ อริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองประสานกันยกขึ้นประทับ ที่พระอุระ (อก) พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย


พระประจําวันเกิด

พระประจําวันเสาร์ ได้แก่ ปางนาคปรก

ลักษณะพระพุทธรูป : พระพุทธรูปอยู่ใน พระอริยาบถประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิ หงายพระ หัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา (ตัก) พระ หัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายเหมือนปางสมาธิ แต่มีพญานาคขนดร่างเป็นวงกลมเป็นพุทธ บัลลังก์และแผ่พังพานปกคลุมอยู่เหนือพระเศียร


วันอังคาร, พฤษภาคม 04, 2564

เกลือ..คุณค่าที่มากกว่าความเค็ม

 เกลือ..คุณค่าที่มากกว่าความเค็ม

  นิยามความเค็มของ “เกลือ” สําหรับนักเคมีแล้ว เกลือ อาจ หมายถึงสารประกอบไอออนิก ที่เกิดจากโซเดียมซึ่งเป็นไอออนบวกมา สร้างพันธะทางเคมีร่วมกับคลอไรด์ที่เป็นไอออนลบ แต่สําหรับในวิถีชีวิต ของมนุษย์แล้ว เกลือ คือผลึกสีขาวที่มีมากด้วยคุณค่า ทั้งการเป็น เครื่องปรุงรส วัตถุดิบในการถนอมอาหาร และมีสรรพคุณทางยา ยิ่งสมัย โบราณแล้วนั้น “เกลือ” ถือเป็นหนึ่งในธาตุวัตถุที่มีค่าเปรียบได้ดั่ง “ทอง” เลยทีเดียว

การทำนาเกลือ
การทำนาเกลือสมุทร
 

ส่อง “ผลึกเกลือ”

อนุภาคเกลือ ที่เรารู้จักกันดี คือ เกลือแกง หรือ โซเดียมคลอไรด์ (Sodium chlorideสูตร เคมี: NaCl) เป็นของแข็ง ใส ไม่มีสี มีผลึกเป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ เกิดจากโซเดียมไอออนและคลอ ไรด์ไอออนที่มีการยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะทางเคมีที่เรียกว่า พันธะไอออนิก (พันธะที่เกิดขึ้นจากแรง ดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างไอออนบวกและไอออนลบ เนื่องจากมีการถ่ายโอนอิเล็กตรอน)

โครงสร้างของโซเดียมคลอไรด์ ประกอบด้วยโซเดียมไอออนและคลอไรด์ไอออนที่เรียงเป็น แถวสลับกันมีลักษณะคล้ายตาข่าย ซึ่งแต่ละไอออนจะมีไอออนชนิดตรงข้ามล้อมรอบอยู่ 6 ไอออน โดยโครงสร้างเช่นนี้นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่พบได้ในแร่อื่นๆ หลายชนิด

สําหรับคุณสมบัติทั่วไปของโซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือแกง คือ มีน้ําหนักโมเลกุลเท่ากับ 5834 มีความถ่วงจําเพาะ 2.165 มีจุดหลอมเหลวที่ 800.8 องศาเซลเซียส มีจุดเดือดที่ 1,465 องศา เซลเซียส และน้ําเกลือจะสามารถเปลี่ยนเป็นน้ําแข็งได้ที่อุณหภูมิ -21.12 องศาเซลเซียส

 

กําเนิด “เกลือ”

แม้ผลึกเกลือสีขาวที่เราเห็นจะมีลักษณะที่เหมือนกัน แต่เส้นทางความเป็นมาของเกลือ และ กระบวนการผลิตก็ไม่ได้เหมือนกันเสียที่เดียวนัก โดยแหล่งกําเนิดเกลือในประเทศไทยมี 2 แหล่ง ใหญ่ๆ คือ เกลือสมุทร และ เกลือสินเธาว์

เกลือสมุทร หรือ เกลือทะเล เป็นเกลือที่ผลิตได้จากน้ําทะเล ด้วยการสูบน้ําทะเลเข้ามาขังไว้ ในนาพัก อาศัยลมและความร้อนจากแสงแดดของดวงอาทิตย์ช่วยระเหยน้ํา เพื่อให้น้ําเกลือมีความ เข้มข้นมากขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง เกลือจะตกผลึกออกมา จังหวัดที่มีการผลิตเกลือสมุทร ได้แก่ สมุทรสงคราม สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี และเพชรบุรี เป็นต้น โดยผู้ผลิตเกลือสมุทร เรียกว่า ชาวนาเกลือ


เกลือสินเธาว์ เป็นเกลือที่ผลิตจากดินและชั้นหิน ซึ่งมีแหล่งที่มา 3 แหล่งด้วยกัน คือ 

1) คราบเกลือบนผิวดิน เมื่อนําดินมาละลายน้ําก็จะได้น้ําเกลือ 

2) บ่อน้ําเกลือ หรือ แหล่งน้ําบาดาล เกิดจากน้ําผิวดินไหลผ่านชั้นแร่เกลือหินและละลายเกลือออกมารวมกันเป็นบ่อน้ํา ส่วนการนําน้ําเกลือขึ้นมาใช้ จะทําได้ด้วยการสูบน้ําขึ้นมา และ 

3)ชั้นเกลือหินใต้ดิน วิธีการได้เกลือมา คือเจาะชั้น หินให้เป็นโพรงเพื่ออัดน้ําลงไปละลายแร่เกลือหิน จากนั้นก็สูบน้ําเกลือขึ้นมาใช้

สําหรับวิธีการผลิตเกลือทําได้สองวิธี คือ การนําน้ําเกลือมาตากแดด หรือ การต้มในกระทะ เหล็กขนาดใหญ่ให้น้ําระเหย กระทั่งเมื่อถึงจุดอิ่มตัวของเกลือ อนุภาคเกลือจะตกผลึกออกมา โดย จังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตเกลือสินเธาว์ พบได้แถบภาคอีสาน เช่น จังหวัดชัยภูมิ มหาสารคาม ยโสธร อุบลราชธานี และอุดรธานี รวมถึงภาคเหนือ เช่น บ่อเกลือ จังหวัดน่าน เป็นต้น

 

ท่อง “นาเกลือ”

การทํานาเกลือ ถือเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยภูมิปัญญา ประสบการณ์ และการสังเกต ร่วมกับ การพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ โดยพื้นที่ที่เหมาะกับการทํานาเกลือนั้น นอกจากเป็นพื้นที่ติดริมชายฝั่ง ทะเลแล้ว ลักษณะภูมิประเทศยังต้องเป็นที่ราบลุ่ม และที่สําคัญคือดินต้องเป็นดินเหนียว อุ้มน้ําได้ดี ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดที่ประเทศไทยมีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,600 กิโลเมตร แต่ กลับมีไม่กี่จังหวัดเท่านั้นที่ทําเกลือสมุทรได้

โดยฤดูกาลทํานาเกลือจะเริ่มประมาณปลายเดือนตุลาคม ขั้นตอนแรกคือการเตรียมพื้นที่ แปลงนา ด้วยการปรับสภาพหน้าดินให้เรียบ เสริมคันนาให้แข็งแรง ขุดร่องช่องน้ําไหลเข้าออก ระหว่างแปลงนาที่ตื้นเขินให้น้ําไหลได้สะดวก

สําหรับพื้นที่การทํานาเกลือทั้งหมดต้องมีเนื้อที่ไม่น้อยกว่า 25 ไร่ เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ใน การตากน้ําจํานวนมาก ซึ่งในนาเกลือจะมีการทําแปลงนาเกลือย่อยๆ ที่เชื่อมโยงกัน นาแต่ละแปลง จะเรียกว่า อันนา หรือกระทงนา โดยกระทงนาที่สําคัญๆ ได้แก่ นาขังหรือวังน้ํา นาตาก นาเชื้อ และนาปลง

เมื่อย่างเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ฝนเริ่มทิ้งช่วงหรือเริ่มหมดฝนแล้ว ชาวนาเกลือ จะเริ่มผันน้ําจากนาขัง ซึ่งเป็นแปลงที่ใช้เก็บกักน้ําทะเลจากคลองส่งน้ําเข้ามาเก็บไว้ใช้ตลอดการทํานา เกลือเพื่อเข้าสู่นาตาก เพื่อตากน้ําให้มีระดับความเค็มสูงขึ้นเรื่อยๆ และปล่อยสิ่งสกปรกตกตะกอน ออกจากน้ํา หลังจากนั้นจะดันน้ําเข้าสู่นาเชื้อ เป็นแปลงนาที่สําหรับพักน้ําให้แสงแดดแผดเผาน้ําให้ ค่อยๆ ระเหย เป็นการงวดน้ําทะเลให้มีระดับความเค็มมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งใกล้กับจุดอิ่มตัว คือ 2225 ดีกรี ซึ่งเป็นระดับความเค็มเกลือพร้อมจะตกผลึก ชาวนาเกลือเรียกว่าเป็นการเพาะเชื้อเกลือ ซึ่ง เมื่อน้ําทะเลมีความเค็มที่เหมาะสมต่อการตกผลึกแล้ว ชาวนาเกลือก็จะระบายน้ําสู่นาปลง เป็นแปลง ที่น้ําเค็มเข้มข้นจนตกผลึกเป็นเม็ดเกลือ ชาวนาเกลือจะปล่อยให้เกลือตกผลึกอยู่ในนาปลงประมาณ 9-10 วัน จึงจะซื้อเกลือ ซักแถวกองเกลือ แล้วตักเกลือขึ้นกุ้งกี่หาบเข้าเก็บในยุ่งเกลือ เพื่อพึ่งให้แห้ง และเตรียมขายต่อไป โดยเกลือแกงที่ได้จะมีผลผลิตประมาณ 4-9 ตันต่อไร่ หรือ 2.5-6 กิโลกรัมต่อ พื้นที่นา 1 ตารางเมตร เคมี จาก “นาเกลือ”


รถบดนาเกลือ
รถบดนาเกลือ


วิถีการทํานาเกลือ นับเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่มีการสั่งสมความรู้และถ่ายทอดกันมา ยาวนาน ซึ่งในองค์ความรู้เหล่านั้นก็มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสตร์ด้านเคมีอยู่ไม่น้อย

 

การผลิตเม็ดเกลือแกง หรือ โซเดียมคลอไรด์ จากน้ํา ทะเลนั้น อาศัยหลักการที่เรียกว่า “การตกผลึก” (Crystallization) เป็นกระบวนการทางเคมีที่ใช้ในการทํา สารให้บริสุทธิ์ ด้วยการแยกของแข็งออกจากของเหลว โดย อาศัยความสามารถในการละลายน้ําหรือจุดอิ่มตัวของ สารประกอบ ที่เมื่ออุณหภูมิลดลง ความสามารถในการ ละลายก็ลดลง สารประกอบเหล่านั้นจะแยกตัวออกจากสารละลายเป็นของแข็งที่มีรูปทรงเรขาคณิต เรียกว่า ผลึก (Crystal) ทั้งนี้สารที่ต้องการแยกและไม่ต้องการแยกจะต้องละลายได้ในตัวทําละลาย ชนิดเดียวกัน แต่ต้องมีความสามารถในการละลายต่างกัน

ในการทํานาเกลือนั้น น้ําทะเลประกอบด้วยอนุภาคไอออนต่างๆ ซึ่งมีทั้งไอออนบวก เช่น โซเดียม (Na) โปแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และไอออนลบ เช่น คลอไรด์ (C) ซัลเฟต(SO4) เป็นต้น เมื่อน้ําทะเลถูกแสงแดดแผดเผาจนน้ําระเหยกลายเป็นไอ น้ําทะเลก็จะมี ความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น ไอออนของธาตุต่างๆ ที่ละลายได้น้อยลงจนไม่สามารถละลายได้ ก็จะจับตัว กันเป็นสารประกอบและตกผลึกออกมาก่อน ซึ่งในนาเกลือจะมีสารประกอบตกผลึกที่สําคัญอยู่ 3 ชนิด คือ เกลือจืดหรือยิปซัม (CaSO4) เกลือแกง(NaCl) และดีเกลือ (MgSO4) 

 

เกลือจืดหรือยิปซัม (CaSO4) เป็นสารประกอบที่ ละลายน้ําได้น้อยที่สุด จะมีการตกผลึกในนาเชื้อซึ่งมีความ เค็มประมาณ 20-25 ดีกรี ผลึกเกลือจะมีลักษณะเป็นผลึก สี่เหลี่ยม ใส ขนาดเล็กๆ เกาะตัวเป็นแผ่นแข็งอยู่ติดกับดิน ชาวนาเกลือนิยมนําเกลือจืดไปใช้ทําแป้งดินสอพอง ชอล์ก เขียนกระดานดํา หรือใช้เป็นส่วนผสมในการทํายาสีฟัน เป็นต้น


เกลือแกง (NaCl) ตกผลึกในนาปลง เป็นช่วงที่น้ํา ทะเลมีความเค็มที่ระดับ 25 ดีกรี มีลักษณะเป็นลูกบาศก์ โปร่ง แสง โดยเม็ดเกลือแกง จะมี 2 เพศ คือ เกลือตัวผู้ รูปร่างเป็น เม็ดยาวแหลม นิยมใช่ผสมยาไว้กวาดคอเด็ก เชื่อว่ามีฤทธิ์แก้ ซาง (ไข้ตัวร้อน) ได้ และเกลือตัวเมีย มีรูปร่างเป็นเหลี่ยม ใช้ ประโยชน์ได้ทั้งสําหรับการบริโภค ดองอาหาร รวมถึงเป็นส่วนประกอบใอุตสาหกรรมต่างๆ

 

ดีเกลือ (MgSO4) เป็นเกลือที่มีรสเค็มจัดจนขม เกลือชนิดนี้จะตกผลึกที่ระดับความเค็ม มากกว่า 27 ดีกรี ขึ้นไป ลักษณะจะมีรูปร่างแหลมเหมือนเข็ม ชาวนาเกลือจะไม่ชอบเพราะหากปล่อย นาปลงให้มีระดับความเค็มมากจนดีเกลือมีการตกผลึก ก็จะมีผลให้เกลือแกงที่ได้ไม่บริสุทธิ์ มีคุณภาพ ต่ํา ขึ้นง่าย ซึ่งชาวนาเกลือจะป้องกันด้วยการผันน้ําจากนาเชื้อสู่นาปลงอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้มี ความเค็มที่ไม่มากเกินไป อย่างไรก็ตามดีเกลือก็มีสรรพคุณทางยา โดยใช้เป็นยาระบาย แก้ท้องผูกหรือเป็นยาถ่ายพยาธิได้ 

 

คุณค่า จาก “เม็ดเกลือ”

คุณประโยชน์จาก เม็ดเกลือ ที่นอกจากการเป็นเครื่องปรุงรสอาหารที่บริโภคกันอยู่เป็น ประจําแล้ว ความเค็มของเกลือยังมีคุณค่าอีกมากมายหลายประการ ได้แก่ • ถนอมอาหาร มีการใช้เกลือสําหรับดองผัก ผลไม้ ไข่ หรือแม้แต่เนื้อสัตว์ เพื่อยืดอายุในการรับประทานได้นานขึ้น ซึ่งเกลือจะเข้าไปช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่จะทําให้เกิดอาการเน่าเสีย 

 

• อุตสาหกรรมห้องเย็น มีการนําเกลือมาใช้รักษาอาหารสดมานานแล้ว เนื่องจากคุณสมบัติของเกลือ หากมีการ เติมเกลือแกงลงในน้ําแข็งในอัตราส่วน 1:3 จะมีผลให้ จุดเยือกแข็งของน้ําลดลงถึง -18 องศาเซลเซียส

 

• อุตสาหกรรมเคมี เกลือถูกใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเคมีภัณฑ์หลายชนิด เช่น ผลิตคลอรีนโซดาไฟ กรดเกลือ เป็นต้น อุตสาหกรรมความงาม ในธุรกิจสปามีการนําเกลือไปใช้สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม อาทิ เกลือขัดผิว เกลือสปา เกลือหอม เนื่องจากเกลือมีสรรพคุณในการเปิดรูขุมขนบริเวณผิวหนังทําให้วิตามินและสารบํารุงต่างๆ ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น

 

• ยา ในตําราแพทย์แผนไทย เกลือ ถือเป็นยาที่นํามาใช้ในการรักษาโรคมากมาย ทั้งในการฆ่าเชื้อ แก้ปวดฟัน ที่สําคัญในเกลือยังมีสารประกอบไอโอดีนที่ช่วยป้องกันโรคคอพอกได้อีกด้วย

//////////////////////////////////////////////////////////

ที่มา:

คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการการอํานวยการจัดงานเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 5 ธันวาคม 2542 วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และ ภูมิปัญญา จังหวัดเพชรบุรี, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2544. หน้า 144-146.

การทํานาเกลือ มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสงคราม คู่มือเดินเท้าเล่าเรื่อง “ท่องวิถี...นาเกลือ” ณ จังหวัดสมุทรสงคราม บทความเรื่อง นาเกลือ และโซเดียมคลอไรด์ จากวิกิพีเดีย บทความ การทํานาเกลือ โดยสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) มาทําความรู้จักกับเกลือที่เราบริโภคกันเถอะ http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/iodine/chapter3/salt.html การผลิตเกลือจากน้ําทะเล http://www.kr.ac.th/ebook/petcharat/b1.html พันธะไอออนิก http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/ap-chemistry1/chemical_bonding/ionic.htm อุตสาหกรรมโซเดียมคลอไรด์ https://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=69374 กว่าจะเป็นเกลือเค็มๆ http://www.everykid.com/worldnews/salt/index.html การแยกสาร

https://www.myfirstbrain.com/student view.aspx?ID=73760

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Halite(Sal t)USGOV.jpg

http://en.wikipedia.org/wiki/File:NaCl_polyhedra.png

http://chaiya.suratthani.doae.go.th/images/egg/k10.gif ผู้เรียบเรียง: ฝ่ายชุมชนและผู้ด้อยโอกาส สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ บรรณาธิการ: จุมพล เหมะคีรินทร์ ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อวิทยาศาสตร์ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ สนับสนุนการผลิตบทความโดย: สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ภายใต้กิจกรรมการพัฒนาศูนย์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

วันอาทิตย์, เมษายน 25, 2564

สรรพคุณของฟ้าทะลายโจร

(เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัว โปรดอ่านเพื่อความบันเทิงนะครับ)

สรรพคุณของฟ้าทะลายโจร

          หลายๆ คนที่ได้ยินชื่อฟ้าทะลายโจรครั้งแรก คงนึกสงสัยเหมือนผมว่าต้นไม้อะไรชื่อแปลกหนักหนา และยิ่งลองได้ชิมรสชาติของใบหรือลำต้นเล็กๆ ที่ไม่ได้สูงมากมายประมาณแค่สองสามคืบเท่านั้น จะต้องจดจำความขมที่ติดปากไปอีกแสนนาน

ดอกฟ้าทะลายโจร
ดอกฟ้าทะลายโจร

         เหตุผลใดที่ทำให้ไม้ล้มลุกต้นนี้มาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอีกครั้งก็เนื่องด้วยสรรพคุณที่มีอยู่ในตัวในการแก้ "ไข้หวัดใหญ่" อย่างได้ผล นอกจากนั้นยังสามารถแก้อาการท้องเสียแบบไม่มีตัวได้อย่างดีเยี่ยม เช่นโรคบิดไม่มีตัว แต่่สรรพคุณที่เด่นๆ มากๆ ของเค้าโดยรวมก็คือ "แก้การอักเสบ" ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบภายในเช่นแผลในทางเดินลำไส้ แผลในปากและลำคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ ยกเว้นการอักเสบที่เกิดจากพวกแบคทีเรีย (มีอาการบวม เป็นหนอง) ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นแบบหลังนี้ควรไปพบแพทย์จะดีกว่า

 ดอกฟ้าทะลายโจร
 
         จะเป็นเพราะว่าสรรพคุณที่โดดเด่นในการแก้ "ไข้หวัดใหญ่"  ทำให้ชื่อ "ฟ้าทะลายโจร" ได้ถูกกล่าวถึงมากขึ้นในช่วงที่ทั่วโลกเกิดโรคอุบัติใหม่หรือที่เรียกว่า Covid-19 (โรคโควิด 19 คือโรคติดต่อซึ่งเกิดจากไวรัสโคโรนาชนิดที่มีการค้นพบล่าสุด ไวรัสและโรคอุบัติใหม่นี้ไม่เป็นที่รู้จักเลยก่อนที่จะมีการระบาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนในเดือนธันวาคมปี 2019 : อ้างอิงจาก https://www.who.int/thailand/emergencies/novel-coronavirus-2019/q-a-on-covid-19 ) ทำให้หลายๆ ประเทศเริ่มตื่นตัว เพราะเป็นไข้หวัดที่ติดต่อจากคนสู่คนได้ง่ายและทำลายปอดให้เสียหายจนผู้ป่วยไม่สามารถหายใจได้เองและเสียชีวิต และในหลายประเทศก็ได้พยายามหาตัวยาภายในประเทศของตัวเองเพื่อมาป้องกันหรือยับยั้งการแพร่กระจายที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น 

ทำไมต้องเป็นฟ้าทะลายโจร

          สมุนไพรในประเทศไทยมีมากมายหลากหลายชนิด ซึ่งคนโบราณได้นำมาใช้กันอยู่ก่อนแล้ว แต่ในยุคปัจจุบันผืนป่าได้ถูกทำลายลงไปอย่างมากทำให้ตัวยาสมุนไพรบางชนิดเป็นของหายาก และบางชนิดเป็นต้นไม้เฉพาะถิ่น คือมีเฉพาะภาคใต้ หรือมีเฉพาะภาคเหนือ อีกทั้งบางครั้งการเรียกชื่อของแต่ละภูมิภาคยังแตกต่างกันไป ถ้าไม่ได้เห็นลักษณะต้น อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นคนละชนิดกัน อีกทั้งองค์ความรู้ของเราก็ไม่ค่อยได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมามากมาย อีกทั้งสิ่งที่เราขาดก็คือการจดบันทึก และแม้ว่าจะมีการบันทึกสมุนไพรหรือตัวยาชนิดนั้นแทบทั้งหมดก็ไม่ได้บอก "วิธีการนำมาใช้" 

           ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สมุนไพรไทยใช้ไม่ได้ผล เพราะบางตัวยาหมอยาแผนโบราณจะรู้วิธีการนำมาใช้ เช่นตัวยาบางตัวต้องนำมาคั่วเพื่อให้พิษบางตัวถูกความร้อนและสลายไปก่อน หากเรานำสมุนไพรชนิดนั้นมาทำการต้มเลย ก็อาจทำให้ประโยชน์ที่จะเกิด กลายเป็นโทษไป หรือตัวยาบางชนิดต้องนำมาต้มด้วยตัวยาสมุนไพรอื่นก่อนเพื่อเป็นการแก้พิษกัน เหมือนกับที่เราสามารถลดความขมของบอระเพ็ดได้ด้วยการกินมะเขือพวงก่อน นอกจากนี้สมุนไพรบางตัวจะออกฤทธิ์ได้ดีเมื่อนำมาทำยาดองเหล้า เพราะสารที่เป็นประโยชน์จะละลายได้ดีในแอลกฮอลล์มากกว่าน้ำธรรมดา สิ่งเหล่านี้ทำให้ยาไทยเสื่อมคุณค่าลง ไม่ใช่เพราะว่าเราใช้ไม่ได้ผลแต่เราใช้ "ไม่ถูกวิธี" ต่างหาก

ฝักฟ้าทะลายโจร
ฝักฟ้าทะลายโจร

          ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาแล้ว ยาแก้ไข้หวัดใหญ่นั้นมีหลากหลายตัวยาและอาจจะได้ผลดีกว่าสรรพคุณของฟ้าทะลายโจร แต่ฟ้าทะลายโจรนั้นขยายพันธุ์ได้ง่าย ปลูกได้แทบทุกพื้นที่ ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวน้อย อีกทั้งวิธีการนำไปใช้ไม่ค่อยยุ่งยากและในพื้นที่จำกัดเราสามารถปลูกได้ในปริมาณจำนวนมากและที่สำคัญยังมีงานวิจัยรองรับในระดับหนึ่ง 

หลักในการใช้ยาฟ้าทะลายโจร

          หากต้องกายใช้ยาสมุนไพรชนิดนี้ ผมแนะนำให้ดูวันหมดอายุก่อน เพราะสมุนไพรที่มีส่วนผสมของพวกใบไม้ จะให้สารสำคัญที่ดีประมาณ 6 เดือน ถึงประมาณหนึ่งปี และหากคุณต้องการรักษาการอักเสบในช่องปาก ควรจะนำใบสดมาต้มแล้วดื่มขณะยาอุ่นจะดีกว่า เพราะจะได้ฆ่าเชื้อที่อยู่ในปากและลำคอได้ดีกว่าการทานเป็นเม็ดเนื่องจากสรรพคุณจะไม่ได้ผ่านจุดที่เป็นสาเหตุของโรคเลย  ต้องผ่านการย่อยเสียก่อนค่อยถูกดูดซึมประสิทธิภาพในการรักษาก็จะน้อยลงไป 

          ส่วนหากใครต้องการทานเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ก็ขอให้ศึกษาการใช้จากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและใช้ให้ถูกวิธี เพราะยาดีๆ ไม่จำเป็นต้องหาซื้อจากต่างประเทศเสมอไป นอกจากนี้อยากให้ทดลองใช้ดูก่อนเพราะร่างกายแต่ละคนแตกต่างกัน ถ้าหากเกิดอาการแพ้ให้รีบหยุดใช้ยา เช่น ตัวบวม เป็นผดผื่นคัน และที่สำคัญอย่าใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้เกิดพิษในร่างกาย หาก 2 - 3 วันยังอาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน      

*ย้ำอีกครั้ง โปรดอ่านเพื่อความบันเทิง หากจะมีสาระก็ขอให้เลือกเฟ้นอย่างมีสติโดยยึดหลัก "กาลามสูตร  10 ข้อ" ดังที่พุทธองค์ได้เคยทรงตรัสเอาไว้*

 

วันเสาร์, เมษายน 24, 2564

 บอระเพ็ดยาขมของคนไทย

เถาบอระเพ็ด
เถาบอระเพ็ด

        หลายคนคงเคยได้ยินที่เราชอบพูดติดปากกันมาว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" นึกถึงคำๆ นี้ ส่วนใหญ่ชื่อบอระเพ็ดมักจะผุดขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของใครหลายๆ คน แต่สำหรับยุคใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะรู้จักแต่ "หวานเป็นลม ขมเป็นคนพาหวานไปหาหมอ" ก็แล้วแต่ความเปลี่ยนแปลงของข้อความ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ "ขมเป็นบอระเพ็ด" สำหรับสมุนไพรที่มีรสขมและทำให้เราจำได้ เท่าที่ผมนึกถึงได้ตอนนี้มีสองชนิด นั่นคือ บอระเพ็ดกับฟ้าทะลายโจร ซึ่งแบบหลังผมค่อนข้างคิดว่ามันขมกว่าบอระเพ็ดและติดปากนานกว่า ในโรงเรียนต่างจังหวัดสมัยก่อนยังมีการลงโทษให้อมบอระเพ็ดหากใครทำผิด ทำให้หลายๆ คนขยาดกับการต้องอมของขม ซึ่งในปัจจุบันสิ่งที่แก้ความขมของบอระเพ็ดให้น้อยลงไปก็คือ มะเขือพวง โดยการกินมะเขือพวงก่อนแล้วค่อยเคี้ยวบอระเพ็ด แต่ความรู้ตอนนี้ก็คงไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขความขมในอดีตได้อีกแล้ว

ลักษณะใบของต้นบอระเพ็ด

บอระเพ็ดสมุนไพรฤทธิ์เย็น

         นอกจากความขมที่ดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไรแล้วนอกจากทำให้หลาบจำ แต่ใครจะรู้ว่าประโยชน์ของบอระเพ็ดนั้นมีความขมที่ช่วยดับพิษร้อน เช่น พิษจากไข้ได้ดี ในสรรพคุณของยาสมุนไพรไทยบอระเพ็ดมีรสขมเย็น และยังมีเรื่องเล่าอีกว่าเป็นยาอายุวัฒนะ หากเราได้อ่านประวัฒิพระเกจิอาจารย์ในสมัยก่อน ท่านมักจะเคี้ยวบอระเพ็ดเป็นประจำ หากใครตัวร้อน เป็นไข้ หากสามารถหาบอระเพ็ดได้หรือสามารถหามาปลูกได้แนะนำให้ลองตัดมาต้มแล้วดื่มน้ำดู ความร้อนจะลดลง สำหรับยาไทยส่วนใหญ่ถ้าเป็นยาต้มมักจะต้มน้ำสามส่วนให้เหลือเพียงหนึ่งส่วน และใส่เพียงท่วมตัวยา ขนาดการดื่มนั้นแล้วแต่ว่าคนไข้อายุเท่าไร น้ำหนักและส่วนสูงเท่าใด และธาตุแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่ถ้าไม่ได้เจาะลึกขนาดนั้นก็แนะนำให้ใช้ประมาณหนึ่งรอบศรีษะ คือใช้เถาพันรอบศรีษะของคนป่วย ได้หนึ่งรอบเท่าใดให้ตัดและนำมาต้มเท่านั้น และดื่มเพียงแต่น้อยๆ ก่อน ถ้าอาการดีขึ้นให้ดื่มทุกๆ 4 ชั่วโมง เพราะยาสมุนไพรส่วนใหญ่จะออกฤทธิ์ค่อนข้างช้าเพราะประกอบด้วยส่วนประกอบทางตัวยาหลายอย่าง ไม่ได้สกัดเป็นยาเดี่ยวเหมือนยาฝรั่ง แต่ข้อดีก็คือ พืชสมุนไพรนั้นได้มาจากธรรมชาติ ผลข้างเคียงต่ออวัยวะภายในของเราจะน้อยกว่าหรือแทบไม่มีเลย (หากต้องการใช้เพื่อเป็นยา แนะนำให้ศึกษาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก่อนหลาย ๆ  แหล่ง)  

บอระเพ็ดมีกี่ชนิด

         บอระเพ็ดที่เราเห็นส่วนใหญ่จะเป็นตะปุ่มตะป่ำ เลื้อยพันต้นไม้ใหญ่ เถาบอระเพ็ดชนิดนี้โบราณเรียกบอระเพ็ดตัวเมีย ส่วนอีกชนิดนึงต้นและใบจะคล้ายคลึงกันแต่จะไม่มีตะปุ่มตะป่ำโบราณเรียกบอระเพ็ดตัวผู้หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เถาชิงช้าชาลี ทางสรรพคุณยาใช้แทนกันได้ แต่ฤทธิ์ของตัวผู้จะน้อยกว่าทำให้ต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่าหากต้องการใช้ในทางสมุนไพร 

ยอดอ่อนของต้นบอระเพ็ด
ยอดอ่อนของต้นบอระเพ็ด

อนาคตของบอระเพ็ด

         นับวันป่าเมืองไทยยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จากของป่ากลายเป็นของหายาก แล้ววันหนึ่งก็อาจจะเลือนหายไปเหลือเพียงแต่ชื่อเท่าน้้น บอระเพ็ดอาจจะเหลือเพียงแค่ชื่อที่ไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตา และความขมที่ไม่มีใครนึกออก ยาสมุนไพรไทยไม่ได้ช่วยชีวิตเราเท่านั้นแต่เมื่อเราได้ใช้และรู้จักอย่างจริงจัง เราจะเริ่มอนุรักษ์และช่วยกันแพร่พันธุ์ออกไป เพราะเรารู้แล้วว่ามันมีประโยชน์อย่างไร 

ต้นบอระเพ็ด
 ต้นบอระเพ็ด
 
         ต้นไม้ต่างๆ อยู่คู่กับโลกนี้มานานก่อนพวกเราเกิดและจะอยู่ต่อไปอีกแสนนานหลังจากเราหายจากโลกนี้ไป สิ่งมีชีวิตที่ดำรงเผ่าพันธุ์มาได้นานขนาดนี้ ผ่านร้อนหนาว ผ่านภัยพิบัติต่างๆ และยังคงขยายพันธุ์ได้นับว่าไม่ธรรมดา น่าจะมีอะไรที่พิเศษ แล้วพวกเราจะไม่รักษาของพิเศษแบบนี้เก็บไว้ให้ลูกหลานเราได้รับรู้และได้เห็นต่อไปในอนาคตเหรืออย่างไร...

 

วันพฤหัสบดี, เมษายน 22, 2564

ศาสตร์แห่งการวิ่ง

 การวิ่งมันดียังไง

        ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อแชร์ประสบการณ์ในการวิ่ง เหมือนเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันหรืออ่านผ่านเพื่อความบันเทิง เพราะผมเองก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้ชื่นชอบการวิ่งมาตั้งแต่แรกและไม่ได้เป็นนักกีฬาจริงจัง อย่างมากก็เคยวิ่งในกีฬาสีของโรงเรียนตอนประถมเท่านั้น บางอย่างเป็นข้อผิดพลาดที่ผมเรียนรู้ บางอย่างเป็นคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่ผมได้พบตอนออกไปวิ่ง ซึ่งผมต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านมานะที่นี้ด้วย

        สิ่งแรกเลยที่ผมคิดสำหรับกีฬาวิ่ง คือมันสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ต้องมีทีม ไม่เลือกเวลาฝึกซ้อม(อันนี้วิ่งเพื่อสุขภาพนะ) ไม่นับรวมกับการวิ่งเพื่อล่ารางวัล แบบหลังนั้นคุณต้องมีวินัยในการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง และต้องตั้งใจจริง ๆ สิ่งดีที่ตามมาสำหรับกีฬาวิ่งนี้คือ อุปกรณ์น้อยมาก แค่รองเท้าดี ๆ กับถุงเท้าที่ใส่สบาย กับเสื้อยืดและกางเกงสำหรับวิ่ง และสถานที่คุณชอบ และที่จะลืมไม่ได้คือ "ใจ" ที่อยากจะวิ่ง เพราะต่อให้รองเท้า บรรยากาศ และความพร้อมมากแค่ไหนแต่แค่คุณไม่อยากจะไป ทุกอย่างก็จบ

 

จุดเริ่มต้นของการวิ่ง

        แน่นอนเราไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพ ผมเริ่มต้นด้วยรองเท้าผ้าใบกับใจที่เริ่มอยากจะวิ่งเท่านั้นเหตุผลที่ผมมาเริ่มวิ่งในวัยเกือบ 40 ปี เท่าที่นึกออก ก่อนที่พี่ตูนจะวิ่งข้ามประเทศ ก็คือว่าอยากออกกำลังกายแบบไม่ต้องใช้อุปกรณ์เยอะ ได้เจอคนเวลาไปวิ่งที่สนาม ทำให้เรารู้สึกไม่ได้อยู่คนเดียว(ทั้งที่่เราก็วิ่งคนเดียว) และเหตุการณ์นึงคือได้ไปวิ่ง 10 กิโลเมตรที่รายการขุนด่านมาราธอน จังหวัดนครนายก ตอนนั้นแค่เริ่มวิ่ง ก็คิดว่าแค่ 10 กิโลเองไม่น่าจะเท่าไหร่ จำได้ว่า สองสามกิโลเมตรแรกนั้นสบายมากวิ่งแซงคุณป้าคุณลุงและคนอื่น ๆ อีกหลายคน แต่เมื่อเริ่มขึ้นสันเขื่อนไปจุดกลับตัวก็เหมือนมีอะไรมาดึงขาเราไว้ และหลังจากนั้นทุกคนที่เคยวิ่งคงนึกออก ขาเริ่มช้าลง เลยหลักกิโลเมตรที่ห้ากับหก เริ่มก้าวไม่ออก คุณลุงคุณป้าที่วิ่งช้าแบบเรื่อย ๆ เริ่มตามมาทัน ช่วงกลับตัวบนสันเขื่อนเริ่มจะเป็นลมละและแน่นอน บางคนก็แซงผมไปในช่วงท้าย ๆ  จากเหตุการณ์นี้ผมเริ่มรู้เลยว่า "การวิ่ง" กับ "การวิ่งแข่ง" ช่างแตกต่างกัน การพ่ายแพ้คราวนั้นทำให้ผมเริ่มกลับมาวิ่งจริงจังและอยากจะชนะในการจัดของปีต่อไป


เริ่มต้นฝึกซ้อม

         ผมโชคดีอย่างหนึ่งคือในหมู่บ้านมีซอยกว้างพอให้เราวิ่งออกกำลังกายได้และตอนเย็น ๆ ก็จะมีคุณลุงคุณป้าเดินเล่นบ้าง วิ่งเล่นบ้างประปราย ทำให้ออกไปวิ่งโดยไม่เก้อเขินเท่าไหร่ และอีกอย่างเวลาผมทำงานต่างจังหวัดก็มีที่ให้วิ่ง (สวนใหญ่ผมไปวิ่งที่สวนนำ้บุ่งตาหลัว) แรกๆ ที่เริ่มวิ่ง ใส่รองเท้าเสร็จก็เริ่มวิ่งเหยาะ ๆ และก็เริ่มสปีดไปเรื่อยๆ  ประมาณกิโลเดียวก็เดินยาวเลยแต่สนามบุ่งตาหลัวรอบนึงก็ประมาณสามกิโลเมตร เหมือนบังคับในเราต้องเดินจนครบรอบเพื่อไปให้ถึงที่จอดรถไว้ ...แน่นอน ตอนเช้ามาขาปวดร้าว ก้าวแบบเจ็บ ๆ เมื่อวิ่ง หลายๆ วันเข้าเราก็ไม่อยากวิ่งอีก เพราะเราคิดว่าการวิ่งต้องวิ่งทุกๆ วันเพื่อให้ร่างกายอยู่ตัว ไม่ถึงเดือนร่างกายก็ล้าจนใจไม่อยากออกไปวิ่งอีก เลยเริ่มหันมาศึกษาว่านักวิ่งเก่ง ๆ เค้าวิ่งกันอย่างไร

 

แรงบันดาลใจในการวิ่งแข่ง

           ในเมื่อเราตั้งใจจะซ้อมเพื่อลงแข่งในปีหน้าแม้จะเป็นแค่ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่แค่ 10 กิโลเมตร แต่ผมก็อยากจะวิ่งให้ถึงเส้นชัยโดยไม่บาดเจ็บและอยากรู้ว่าศักยภาพของเรากับคนที่อายุระดับเดียวกันเป็นอย่างไร ผมเริ่มหาข้อมูลของนักวิ่งไกลระดับโลก ตอนนี้เองที่ผมเริ่มรู้จักนักวิ่งมาราธอนระดับโลก อย่างเช่น
         - Eliud Kipchoge (เอเลียด คิปโชเก้) คนนี้เป็นขวัญใจของผมเลยที่เดียว

         - Wilson Kipsang Kiprotich (วิลสัน คิปแซง) เป็นคนที่วิ่งแล้วดูแบบสบาย ๆ

         - Mohammed Farah หรือ (โม ฟาราห์) คนนี้ชอบที่เค้าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมุ่งมั่น

         - Kenenisa Bekele  (เคเนนิซ่า เบเกเล่) เป็นคนมุ่งมั่นแต่เอาชนะเลยลดความชอบมาหน่อย

         แต่ทั้งนี้ทุกคนที่กล่าวมาผมชอบทุกคนและนำเอารูปแบบการฝึกมาปรับใชักับตัวเอง

  

วิ่งให้สนุกต้องวิ่งกับรองเท้าที่ใส่แล้วมีความสุข

         ส่วนใหญ่เราคิดว่าการใส่รองเท้าวิ่งไม่ค่อยจำเป็น รองเท้าอะไรก็ใส่วิ่งออกกำลังกายได้ เป็นความจริงแค่ส่วนหนึ่ง นั่นเพราะถ้าคุณวิ่งเหยาะ ๆ หรือเดินเล่นเป็นครั้งคราว รองเท้าวิ่งก็ไม่ได้จะจำเป็นเท่าใดนัก แต่ถ้าคุณต้องการฝึกซ้อมหรือวิ่งอย่างจริงจังแล้วละก็ ผมแนะนำให้หารองเท้าดีๆ ซักคู่มาใส่ เพราะจะทำให้คุณมีความสุขกับการวิ่งอย่างแท้จริง คุณจะไม่เบื่อกับการซ้อมวิ่งทุกๆ วัน คุณจะวิ่งได้ไกลมากขึ้น ข้อเข่าคุณจะไม่ถูกกระทบกระเทือนจนเกินไป น่องของคุณจะไม่ปวดมาก และข้อเท้าของคุณจะทำงานได้อย่างเต็มที่ ผมคิดว่าเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่คุณควรลงทุนเพราะมันคุ้มค่ามาก ผมใส่รองเท้าผ้าใบวิ่งฝึกซ้อมเมื่อตอนเริ่มวิ่งใหม่ๆ เพระผมคิดว่ารองเท้าใส่วิ่งค่อนข้างแพงและไม่จำเป็น แต่มีอยู่วันหนึ่งผมเดินผ่านร้านรองเท้าของ ASIC มีรองเท้าสำหรับวิ่งรุ่นเก่านำมาลดราคา ผมเลยเลือกมาคู่นึง หลังจากนั้นการวิ่งของผมก็เปลี่ยนไป ขาไม่ค่อยเมื่อย วิ่งสบายขึ้น ไม่ค่อยล้าตอนตื่นนอนตอนเช้า ที่สำคัญรองเท้าแทบจะไม่มีกลิ่นอับเลย และเมื่อสวมใส่ตาข่ายด้านหน้าของรองเท้าจะระบายความร้อนเวลาเราวิ่งไปนานๆ ทำให้เท้าของเราวิ่งได้ไกลขึ้น  สำหรับคนที่ไม่เชื่อผมขอให้คุณไปเลือกรองเท้าวิ่งดี ๆ สักคู่หนึ่งเอาแบบที่ใส่แล้วคุณสบายที่สุด ลองสีที่ชอบ ยี่ห้อที่คุณมั่นใจ ในราคาที่คุณพอจ่ายได้ ไม่จำเป็นต้องแพงมาก แต่ขอให้คุณสบายที่สุด และคุณจะรักการวิ่งเหมือนผม (ปล.รองเท้าคู่แรกของผมใส่ได้ประมาณสามปี พื้นสึกหรอไปน้อยมาก แต่ต้องเปลี่ยนเพราะนิ้วก้อยเท้าโผล่)

 

 วิ่งเก่งไม่จำเป็นต้องวิ่งทุกวัน

           ก่อนหน้านี้ผมวิ่งแทบจะติดๆ กัน วิ่งระยะ 5-6 กิโลเมตร เพราะคิดว่าการซ้อมหนักทุกวันจะทำให้เราวิ่งได้ไกลขึ้นและไวขึ้น แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย วันหลังๆ ของการวิ่งร่างกายจะล้าแม้เราจะฝืนแต่ก็ยังยิ่งแย่ ทำให้เราต้องหยุดและก็กลายเป็นความขี้เกียจไปเลย แถมบางครั้งวิ่งระยะทาง 10 กิโลเมตรยาวๆ ยิ่งทำให้ล้าแบบหยุดยาว จากการดูการศึกษาการฝึกซ้อมของเหล่านักวิ่งระดับโลก ไม่มีใครวิ่งโดยไม่หยุดพัก แต่คำว่าพักของเค้านั้นอาจจะเป็นการวิ่งช้าๆ ในบางวัน เมื่อคุณวิ่งคุณจึงต้องมีตารางในการวิ่ง ซึ่งในอินเตอร์เนตนั้นมีข้อมูลที่คุณต้องการอยู่แล้วแทบทุกระยะไม่ว่าจะเป็น 10KM.  25KM.  หรือแม้แต่ระยะมาราธอน 42.195KM. สิ่งสำคัญคือวิ่งแล้วคุณต้องพักเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวครับ

 

ชุดใส่วิ่งสำคัญยังไง

           ชุดใส่วิ่งออกกำลังกายสำคัญด้วยเหรอ... เหมือนเดิมครับคุณใส่ชุดอะไรก็ได้ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกายหรือวิ่งอย่างจริงจัง แต่ถ้าไม่ใช่แนะนำให้หาซักสองหรือสามชุดครับ ไม่ได้ใส่เพื่อโชว์ว่าคุณเป็นนักวิ่ง แต่อยากให้คุณนึกถึงสภาพของใส่กางเกงยีนส์และเสื้อแขนยาววิ่ง ตอนเหงื่อออกเสื้อจะเริ่มไม่ระบายความร้อนในขณะที่ร่างกายคุณต้องการการระบายอย่างดีที่สุด การก้าวเท้าของคุณจะถูกดึงไว้ด้วยผ้ายีนส์ ทำให้ท่าทางในการวิ่งของคุณผิดธรรมชาติและอาจถึงทำให้บาดเจ็บ เมื่อคุณเริ่มสปีดการวิ่ง กางเกงยีนส์ขายาวจะรั้งความเร็วของคุณไว้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ กางเกงที่ระบายเหงื่อและความร้อนได้ดี เสื้อก็เช่นเดียวกัน เพราะเนื้อผ้าบางอย่างอาจจะสบายตอนวิ่งแรกๆ แต่เมื่อเปียกเหงื่อเนื้อผ้าจะแนบติดไปกับลำตัวให้เราเคลื่อนไหวลำบากเมื่อวิ่งไปนานๆ

 

สนามซ้อมสำคัญมั๊ย 

           ไม่น่าเชื่อว่าสนามซ้อมจะสำคัญในการฝึกซ้อมวิ่งด้วย แต่สำหรับผมมันเป็นความจริงครับ ถ้าใครเคยดูนักวิ่งระดับโลกซ้อมวิ่งกัน เค้าไม่ได้มีสนามดีๆ วิ่งด้วยซ้ำ บางทีเป็นทางขรุขระกันดารผ่านหมู่บ้านและพื้นที่ที่มีออกซิเจนต่ำ (นักวิ่งเคนย่าจะได้เปรียบเพราะอยู่บนพื้นที่สูงอากาศเบาบางทำให้ชินต่อการใช้ออกซิเจนที่ต่ำกว่าปกติแต่ใช้แรงได้เท่าปกติ เมื่อมาวิ่งบนพื้นที่ราบจะทำให้วิ่งได้ดีขึ้นเพราะออกซิเจนพื้นราบมีมากกว่านั่นเอง) สนามวิ่งก็เป็นพื้นดินธรรมดา แต่ส่วนใหญ่จะซ้อมเป็นกลุ่มวิ่งไปด้วยกัน หรือนักวิ่งบางคนอย่าง Sir Mo Farah ก็จะวิ่งไปตามถนนหรือในสวนสาธารณะในตอนเช้าๆ ประเด็นก็คือ ถ้าคุณซ้อมในหมู่บ้านถนนคอนกรีตและไม่มีรองเท้าที่รับแรงกระแทกดีๆ แล้ว เข่าคุณอาจจะปวดมากกว่าการที่คุณซ้อมในสนามหญ้า เพราะฉะนั้นอยากให้คุณซ้อมในพื้นที่ที่หลากหลาย เพื่อให้ข้อเท้าของคุณได้เปลี่ยนจุดรับน้ำหนักบ้าง เปลี่ยนความเร็ววิ่งสลับช้าบ้างเพื่อให้เข่าของคุณได้เปลี่ยนจุดกระแทกให้ทั่วถึง และที่สำคัญถ้าคุณวิ่งซ้อมในสนามที่คนวิ่งกันเยอะๆ คุณจะมีเพื่อนวิ่งทำให้คุณเพลิดเพลินกับการวิ่งและวิ่งระยะทางได้ไกลโดยไม่รู้ตัว  หรือบางสนามคุณอาจจะเจอกลุ่มวิ่งจริงจัง ถ้าอยากพัฒนาปอดกับกล้ามเนื้อ...วิ่งตามกลุ่มเขาไปเลย!! 


นาฬิกากับการวิ่ง

           การที่เราจะพัฒนาตัวเองให้วิ่งได้ไกลขึ้นหรือใช้เวลาให้น้อยลง สำหรับบางคนก็ไม่ได้จำเป็นต้องใช้นาฬิกาแพงๆ เพื่อใช้จับเวลาและดูระยะทาง สำหรับผมตอนวิ่งแรกๆ ผมจะจับเวลาจากนาฬิกาดูเวลาแต่เป็นแบบดิจิตอล กดเวลาเริ่มจนกดหยุดเมื่อครบรอบ ทุกๆ ครั้งที่ไปวิ่งผมจะทำแบบนี้เมื่อครบรอบก็จะกดว่าเราใช้เวลาไปเท่าไหร่ อย่างเช่นรอบบุ่งตาหลัวประมาณ  3.2 Km. วันนี้ผมวิ่งได้ประมาณ 18 นาที ถ้าผมวิ่งในงานแข่งจริง ผมจะใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ในระยะทางประมาณ 10 Km. ผมจะคิดง่ายๆ ที่ 9.6 Km. คือเอาสามคูณเวลาก็จะประมาณ 54 นาที แต่นั่นเป็นเวลาคร่าวๆ เพราะเมื่อเราวิ่งรอบที่สองกับสามเราจะเหนื่อยและวิ่งช้าลงไปเรื่อย ๆ แต่นั่นก็ทำให้เราทราบว่าเมื่อเราฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ เวลาควรจะลดลงไป เราจะได้มีเวลาอ้างอิง      แต่เมื่อนาฬิกาสมาร์ทวอชราคาถูกลงเรื่อยๆ และผมคิดว่าผมจะวิ่งอย่างจริงจัง ผมก็จำเป็นต้องซื้อมาเพื่อจับเวลาและแทรคเส้นทางที่วิ่ง(ซื้อมือสองมา) เหตุผลก็เพราะว่าคุณไม่วิ่งสนามเดียวประจำ และอีกอย่างคุณวิ่งระยะเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำเป็นต้องกดนาฬิกาทุกรอบ อันนี้คือความต้องการของผมที่คิดว่าจำเป็นและมันก็ช่วยได้จริง ๆ ..สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือถ้าคุณวิ่งจริงจังหาซื้อนาฬิกาที่มี gps ในตัวที่แม่นยำซักหนึ่งเรือน เพราะมันช่วยคุณให้พัฒนาได้ แต่ถ้าไม่มีจำเป็นต้องซื้อมั๊ย ตราบใดที่คุณมีความสุขกับการวิ่ง บางครั้งนาฬิกาก็ไม่ได้จำเป็น...


สิ่งสำคัญสุดท้ายคือใจในการออกไปวิ่งและอยากชนะ

             บางคนวิ่งเพื่อสุขภาพ บางคนวิ่งเพื่อล่ารางวัล บางคนวิ่งเพราะเทรนด์กำลังมา แต่ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดแค่คุณเริ่มต้นมันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว สิ่งที่ผมได้บอกไปในแต่ละหัวข้อตอนต้นถึงมันจะสำคัญก็จริง แต่ถ้าคุณไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ใจที่อยากจะวิ่ง ..คุณจะวิ่งได้ไม่นาน เหตุผลที่ผมอยากจะชนะในการวิ่งขุนด่านมาราธอนในการวิ่งครั้งหน้า เป็นเพียงการตั้งเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นผมจะล้มเลิกกลางคัน มันทำให้ผมรู้ว่าผมวิ่งเพื่ออะไรในวันที่ผมขี้เกียจ และแน่นอนผมได้ที่สองของรุ่นอายุ 40-45 ปี ในการวิ่งปีถัดมา ซึ่งผมก็ไม่ได้วิ่งเก่งอะไรแต่เป็นเพราะว่าปีนั้นมีการวิ่งแข่งสนามใหญ่ๆ หลายงาน นักวิ่งมีฝีมือต่างกระจัดกระจายไปวิ่งงานใหญ่ๆ กันหมด ผมเลยมีโอกาสแต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอและใจที่อยากจะเอาชนะ ทุกคนมีศักยภาพไม่ว่าเรื่องใดๆ ซึ่งผมได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว แต่ใช่ว่าการวิ่งจะเหมาะกับทุกคน อยากให้ทุกคนประเมินตัวเราเองด้วย อย่าพยายามฝืน เพราะทุกคนไม่ได้เกิดมาเหมือนกัน เพียงแต่การวิ่งสำหรับผมมันสามารถทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น พาตัวเองออกไปเจอธรรมชาติและผู้คนมากขึ้น ทำให้ผมเบิกบานและมีความสุข ถ้าจะบอกว่าการวิ่งเปลี่ยนแปลงเรายังไง อยากให้ทุกคนออกไปวิ่งด้วยตัวคุณเอง เริ่มต้นจากเดินก่อนก็ได้ แล้วค่อยวิ่งเหยาะ ๆ จากนั้นถ้ามันใช่ ใจคุณจะบอกคุณเอง.....สนุกกับการวิ่งกันนะครับ

วันจันทร์, เมษายน 19, 2564

ภูมิปัญญาจากวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน

ภูมิปัญญาจากวรรณคดี เรื่อง ขุนช้างขุนแผน


1. บทนํา

ผู้ศึกษามีความสนใจที่จะศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากประเพณี วิถีชีวิต ความเชื่อ และค่านิยมใน วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน การศึกษาวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน จะทําให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิ ปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้นใน ช่วงเวลาที่อิทธิพลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากตะวันตกยังไม่แพร่กระจายเข้าสู่สังคมไทยมากนัก โดยพิจารณาจากลักษณะของวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งจะสะท้อนให้ เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีลักษณะเป็นไทยได้ตรงตามสภาพที่เป็นจริง

ดังนั้น การศึกษาวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน จะทําให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏ อยู่ในสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ และนําไปใช้เป็นแนวทางในการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยให้ กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อส่งเสริมเผยแพร่ให้ชาวบ้านนําภูมิปัญญาเหล่านั้นไปสืบทอดปรับปรุง ต่อไป

2. ภูมิหลัง

2.1 ภูมิหลังของเรื่อง เรื่องขุนช้างขุนแผน มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2034-2072 เนื้อเรื่องเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ ตอนไทยทําสงครามกับเชียงใหม่และล้านช้าง แล้วเอามาผูกกับวิถีชีวิตของชาวเมืองสุพรรณบุรีและ กาญจนบุรี แล้วเล่าสืบต่อกันมาจนกลายเป็นนิทานพื้นเมืองของเมืองสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี เรื่องนี้มี ปรากฏอยู่ในหนังสือ “คําให้การของชาวกรุงเก่า” ซึ่งนับว่าเป็นเค้าที่มาของเรื่องขุนช้างขุนแผน นับเป็น นิทานพื้นบ้านเรื่องยาวที่สุดของชาวสุพรรณบุรี ครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น คือ สมัยสมเด็จพระพันวษา ซึ่ง เข้าใจกันว่า คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เพราะมีเนื้อเรื่องตรงกับประวัติศาสตร์ ตอนทําศึกเมืองเชียงใหม่ 2.2 ภูมิหลังของกลอนเสภา มีผู้สันนิษฐานกําเนิดของการขับเสภา เกิดขึ้นเพราะสมัยกรุงศรีอยุธยาถือว่า การเล่านิทานเป็นการมหรสพอย่างหนึ่ง คือ เมื่อมีการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นงานโกนจุก งานบวช งาน แต่งงาน หรืองานศพก็ตาม เจ้าภาพจะว่าจ้างนักเล่านิทานมาเล่านิทานให้แขกในงานฟัง นิทานที่นิยมเล่ากัน มากที่สุดคือ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน การขับเสภาคงเนื่องมาจากการเล่านิทาน คือ เล่านิทานฟังกันนานๆ เข้าก็ จืด จึงมีคนคิดจะเล่าให้แปลูกโดยแต่งเป็นบทกลอนให้คล้องจองกันใช้ขับลํานํา มีกรับเป็นเครื่องเคาะ จังหวะ

3. ประวัติและวัตถุประสงค์

ประวัติ เรื่องขุนช้างขุนแผนมีผู้แต่งไว้แล้ว ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จกรมพระยาดํารงรา ชานุภาพ ทรงอธิบายว่า เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เบื้องต้นเล่าเพียงมุขปาฐะ(นิทานขนาดยาว) ต่อมา ภายหลังได้มีผู้นําเรื่องขุนช้างขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนเสภาแล้วใช้ในการขับเสภา แล้วแต่งเป็นกลอนเสภา เฉพาะบางตอน จึงทําให้เรื่องนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น ครั้นเสียกรุงแล้วบางตอนก็สูญหายไป บาง ตอนยังมีต้นฉบับเหลืออยู่ จึงเหลือมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์แต่เพียงบางตอนเท่านั้น เรื่องไม่ติดต่อกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 มีพระราชประสงค์จะฟื้นฟู ศิลปและวรรณกรรม ให้ กลับฟื้นคืนดีเหมือนเดิมจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กวีหลายคนช่วยกันรวบรวมและแต่งเรื่องขุนช้าง ขุนแผนต่อเติมขึ้น จนตลอดเรื่อง การชุมนุมกวีครั้งนั้นจึงเป็นการประกวดฝีปากเชิงกลอนอย่างเต็มที่ ทําให้ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีความไพเราะเพราะพริ้งมาก กระทั่งถูกยกย่องให้เป็น ยอดวรรณกรรมประเภท กลอนสุภาพ วัตถุประสงค์ เพื่อใช้ในการขับเสภา ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้ฟังผู้อ่าน และแสดง ความสามารถเชิงประพันธ์ของผู้แต่ง

4. เนื้อหา และบทวิเคราะห์ภาพสะท้อนของภูมิปัญญาจากวรรณกรรม | วรรณกรรมเรื่องนี้ให้คุณค่าทางสติปัญญา หรือ ความรู้ ความคิด ภูมิปัญญาในด้านต่างๆ มากมาย เช่น ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและสภาพสังคมไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตลอดจนสํานวนโวหารที่ไพเราะ และเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีชีวิต ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี

วรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นจากประเพณีต่างๆ ทั้งจากประเพณีที่เกี่ยวกับ ชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ประเพณีที่เกี่ยวกับศาสนาและประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับเทศกาลต่างๆ ไว้ดังนี้

4.1 วิถีชีวิต วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้สะท้อนสภาพชีวิตความเป็นอยู่วิถีชีวิตตั้งแต่อ้อน ออกสู่ความเป็นหนุ่มสาว ทั้งชาววัด ชาววัง และชาวบ้าน หมายรวมถึงวิถีชีวิตเจ้ากับไพร่... คติ ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม วัฒนธรรม ประเพณีภูมิปัญญาของชาวบ้านในสมัยนั้นได้ตรงตามสภาพที่เป็นจริง

มาก

4.2 ค่านิยม

4.2.1 ความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ในวรรรณกรรมได้กล่าวถึงระบบศักดินาที่ใช้ในการ ปกครองสมัยก่อน เพราะแม้กระทั่งชื่อเรื่องก็สื่อให้เห็นถึงระบบศักดินาอย่างชัดเจน การถวายตัวในราช สํานัก เพื่อรับใช้และแสดงความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ดังเช่น เมื่อพลายงามโตขึ้นได้ถวายตัวเพื่อรับ ใช้ในราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณ สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์ของครอบครัวขุนนางในสมัยกรุงศรี อยุธยาที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มาก พระมหากษัตริย์ตรัสสิ่งใดก็จะเชื่อฟัง ตอนที่ พลายงาม ถวายตัวแด่สมเด็จพระพันวษา

บทเสภา : พลายงามอาสาทําศึกเมืองเชียงใหม่

ขอเดชะพระกรุณาฝ่าละออง ดอกไม้ธูปเทียนทองของพลายงาม

 จงไปดีมาดีศรีสวัสดิ์ พันพิบัติเสี้ยนหนามความเจ็บไข้

  จะขอรองมุลิกาพยายาม พลางกราบสามที่สดับตรับโองการ 

ให้ศัตรูพ่ายแพ้แก่ฤทธิไกร มีชัยได้เวียงเชียงใหม่มา

4.2.2 การบ้านการเรือนของลูกผู้หญิง ลูกผู้หญิงจะต้องได้รับการฝึกฝนการบ้านการเรือน เพื่อให้เป็นกุลสตรีที่เพรียบพร้อม ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ พระเจ้ากรุงไกรและองค์ราชินีสอน พระธิดา ความว่า

อีกอย่างการงานคร้านทั้งนั้น มั่นว่าเมียอุบาทว์ชาติกาลี

อันหญิงดีที่เป็นภรรยา กําหนดไว้ในตําราว่าเป็นสี่

4.2.3 การศึกษาเล่าเรียนของลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายจะต้องเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาบาลี คาถาอาคม อันเป็นประโยชน์ตามความนิยมในสังคมไทยสมัยก่อน ยายทองประศรีบอกกับพลายงาม ความว่า

“ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนตร์”

“หนึ่งได้ศึกษาวิชาชาญ เป็นแก่นสารคือคุณอุดหนุนตัว”

4.2.4 การเคารพผู้ใหญ่ สมัยก่อนการทําความเคารพผู้ใหญ่เป็นเรื่องสําคัญ เพราะจะทําให้ ผู้ใหญ่เอ็นดู การทําความเคารพจึงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ดังเสภาว่า

 “เจ้าออแก้วประนมก้มกราบไหว้ ท่านผู้ใหญ่ลูบหลังแล้วสั่งสอน”

4.3 ประเพณี

4.3.1 ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต หมายถึง ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคลตั้งแต่แรกเกิดจน ตาย ประเพณีเหล่านี้ล้วนจัดกระทําขึ้นในแต่ละช่วงของชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญๆ ทั้งสิ้น นับตั้งแต่การเตรียมการเกิด การโกนจุด การบวช การแต่งงาน การตาย และการทําศพ

4.3.1.1 ประเพณีการเกิด ในสมัยโบราณวิทยาการด้านการแพทย์ยังไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน ฉะนั้นอันตรายจากการเกิดจึงมีมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีและความเชื่อกันมากมายเพื่อป้องกันเหตุร้าย อันอาจเกิดมีขึ้นแก่หญิงมีครรภ์จึงมีหมอตําแยเพื่อช่วยทําคลอด เช่น เมื่อจวนใกล้จะคลอดต้องตามหมอตําแย มาช่วยทําการคลอด เมื่อเด็กคลอดออกมาถึงพื้นเรียกว่า “ตกฟาก” ต้องอดเวลาของเด็กไว้เพราะเชื่อตามหลัก โหราศาสตร์ว่าเวลาตกฟากมีความสําคัญต่อตั้งชื่อการทํานายเรื่องโชคชะตาในชีวิตของเด็กดังตัวอย่างจาก บทเสภา ตอนที่ ทองประศรีคลอดพลายแก้วแล้วตั้งชื่อตามเวลาตกฟาก

ปีขาลวันอาคารเดือนห้า ตกฟากเวลาสามชั้นฉาย

 กรุงจีนเอาแก้วอันแพรวพราย มาถวายพระเจ้ากรุงอยุธายา

 ให้ใส่ยอดพระเจดีย์ใหญ่ สร้างไว้แต่เมื่อครั้งกรุงหงสา

เรียกวัดเจ้าพระยาไทยแต่ไรมา ให้ชื่อว่าพลายแก้วผู้แววไว 

ส่วนแม่ของเด็กนั้นเมื่อคลอดแล้วต้อง “นอนไฟ หรือ อยู่ไฟ” เพื่อรักษาตัว ดังเสภา ว่า

เอาขึ้นใส่คู่แล้วแกว่งไกว แม่เข้านอนไฟให้ร้อนทั่ว

เดือนนึงออกไฟไม่หมองมัว ขมิ้นแป้งแต่ตัวน่าเอ็นดู

4.3.1.2 ประเพณีการทําขวัญ การจัดพิธีทําขวัญเด็ก พ่อแม่จะจัดบายศรีและเครื่องบัตรพลี สําหรับสังเวยพระภูมิเจ้าที่ เสร็จแล้วก็ทําขวัญ แล้วเอาสายสิญจน์มาเสกผูกข้อมือเด็กทั้ง 2 ข้าง เรียกว่า “ผูกขวัญ” แล้วให้ศีลให้พรตามประเพณี เพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งเป็นการแนะนําสมาชิก ใหม่ของครอบครัวให้วงศาคณาญาติรู้จัก ในเสภากล่าวถึง ตอนทําขวัญพลายแก้ว ไว้ว่า

จัดแจกแขกนั่งเป็นวงกลม พงศ์พันธุ์พร้อมอยู่ทั้งปู่ย่า 

ยกบายศรีแล้วโห่ขึ้นสามลา เวียนแว่นไปมาโห่เอาชัย 

ศรีศรีวันนี้ฤกษ์ดีแล้ว เชิญขวัญพลายแก้วอย่าไปไหน

ขวัญมาอยู่สู่กายให้สบายใจ  ชมช้างม้าข้าไททั้งเงินทอง 

4.3.1.3 ประเพณีการโกนจุก เมื่อเด็กอายุเข้าสู่วัยรุ่น คือ ชายอายุ 13 ปี หญิงอายุ 11 ปี พ่อแม่ก็จะ จัดพิธีโกนจุก เพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นการแสดงว่าเข้าสู่วัยรุ่น ในเสภาขุนช้างขุนแผน กล่าวถึงโกนจุกพลายงาม ตอนที่ ทองประศรีทําพิธีโกนจุกพลายแก้วไว้ดังนี้

ทองประศรีดีใจ ได้ฤกษ์ยาม ได้สิบสามปีแล้วหลานแก้ว

จะโกนจุกสุกดิบขึ้นสิบค่ํา แกทําน้ํายาจีนต้มต้นหมู

 4.3.1.4 ประเพณีการบวช สําหรับเด็กผู้ชายพ่อแม่อาจจะให้ไปศึกษาหาความรู้กับพระที่วัดด้วย การนําตัวไปบรรพชาเป็นสามเณร จนมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงจะจัดประเพณีการบวช หรืออุปสมบทเป็น พระภิกษุ คนไทยถือว่าการบวชเป็นการอบรมบ่มนิสัย ฉะนั้นผู้ที่บวชเป็นพระแล้วจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น บัณฑิตหรือเป็นคนสุกที่ได้รับการบ่มเพาะด้วยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ก่อนบวชมีการลาอุปสมบท เพื่อให้ญาติมิตรมีโอกาสอนุโมทนาส่วนบุญและได้กุศล คือได้แสดงความชื่นชมยินดีในการทําบุญของผู้อื่น นอกจากนี้ยังให้ผู้บวชได้มีโอกาสขอขมาโทษผู้อื่นที่ตนเคยล่วงเกินไว้ให้อโหสิกรรมด้วย สําหรับเรื่องขุน ช้างขุนแผนในตอนที่ทองประศรีบวชเณรพลายแก้วที่วัดส้มใหญ่ กวีได้กล่าวไว้ว่า ตอนที่ ทองประศรีพา พลายแก้วมาบวชที่วัดส้มใหญ่ ความว่า

ท่านเจ้าขาฉันพาลูกมาบวช ช่วยเสกสวดสอนให้เป็นแก่นสาร

ด้วยขุนไกรบิดามาถึงกาล จะได้อธิษฐานให้ส่วนบุญ 

4.3.1.5 ประเพณีการแต่งงาน การแต่งงานถือเป็นการตั้งวงศ์ตระกูลและสืบต่อให้รุ่งเรืองสืบไป ปัจจุบันยังคงประกอบพิธีตามขั้นตอน ในเสภาพิธีเริ่มตั้งแต่การเริ่มต้นสู่ขอ ตอนเรียกสินสอดทองหมั้น ตอน ปลูกเรือนหอ ตอนยกขันหมาก ตอนพิธีสวดมนต์ซัดน้ํา และตอนส่งตัว ดังกวีกล่าวไว้ว่า ตอน นางศรีประจัน เรียกสินสอด เสภาว่า

“ข้าจะให้ลูกข้าสิบห้าชั่ง ขันหมากมั่งน้อยมากไม่รู้

ผ้าไหว้สํารับหนึ่งพอดี หอมีห้าห้องฝากระดาน”

 แต่เมื่อสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป การอยู่กันก่อนแต่ง หรืออยู่กินกันโดยไม่เข้าพิธีแต่งงาน จึง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากในสังคมปัจจุบัน

4.3.1.6 ประเพณีการตาย พิธีแรกคือ การอาบน้ําศพ เชื่อกันว่าเพื่อชําระสิ่งสกปรกให้ผู้ตายนํา วิญญาณที่บริสุทธิ์ไปสู่สุคติ โบราณมีการอาบน้ําศพเพื่อให้สะอาดอย่างแท้จริง แต่ปัจจุบันจัดทําเพียงรดน้ําที่ มือของผู้ตายเท่านั้น นอกจากนี้ในปากผู้ตายนิยมใส่เงินไว้โดยมีความเชื่อความคติโบราณว่าเพื่อให้ผู้ตาย นําไปให้ผู้รักษาประตูของภพอื่น หรือให้เป็นข้อคิดว่าตอนมีชีวิตอยู่ต้องดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ ตายไปแล้วเอา อะไรไปไม่ได้เลย เป็นข้อควรพิจารณาเพื่อขจัดความโลภ การตั้งศพสวดพระอภิธรรม การทําบุญเลี้ยงพระ และจัดพิธีเผาศพ เมื่อเผาเสร็จมีการเก็บอัฐิเพื่อบรรจุไว้ในเจดีย์หรือนําไปลอยน้ํา เช่น ตอนทําศพนางวันทอง เสภา ว่า

เกือบจะบ่ายชายแสงสุริยัน ขุดศพนั้นอาบน้ําและชําระ 

ยกศพใส่หีบพระราชทาน เครื่องอานแต่งตั้งเป็นจังหวะ

 ปีชวาร่ําร้องกลองชนะ นิมนต์พระให้นําพระธรรมไป

พลายชุมพลนุ่งขาวใส่ลอมพอก โปรยข้าวตอกออหน้าหาช้าไม่

 4.3.2 ประเพณีเกี่ยวกับเทศกาล วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงประเพณีเกี่ยวกับเทศกาลไว้ 2 อย่าง คือ ประเพณีในเทศกาลสงกรานต์ และสารทไทย ดังนี้

4.3.2.1 เทศกาลสงกรานต์ ในสมัยก่อนเราถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่ ซึ่งตรงกับวันที่ 1314-15 เมษายนของทุกปี ตอนเช้าจะมีการทําบุญที่วัด ตอนบ่ายอาจมีการก่อพระทราย และการรดน้ําขอพร ผู้ใหญ่ เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเองและเป็นการทําบุญร่วมกันตามความเชื่อที่ตนมีต่อศาสนาและพร้อมกัน นี้ก็มักจะจัดให้มีการสนุกสนานรื่นเริงใจควบคู่กับไปด้วย ดังความในคํากลอนที่ว่า

ทีนี้จะกล่าวถึงเรื่องเมืองสุพรรณ ยามสงกรานต์คนนั้นก็พร้อมหน้

 จะทําบุญให้ทานการศรัทธา ต่างมาที่วัดป่าเลไลยก์

 หญิงชายน้อยใหญ่ไปแออัด ขนทรายเข้าวัดอยู่ขวักไขว่

ก่อพระเจดีย์ทรายเรี่ยรายไป จะเลี้ยงพระกะไว้ในพรุ่งนี้

4.3.2.2 เทศกาลสารทไทย วันสารทไทยนี้ตรงกับวันแรม 10 ค่ําเดือนสิบ ก่อนถึงวันสารทไทย ชาวบ้านจะจัดหาข้าวของสําหรับไปทําบุญที่วัด แต่ของที่ทุกคนนิยมจัดหาไปเหมือนๆ กัน คือ กระยาสารท และกล้วยไข่ เพื่อไปทําบุญที่วัด และทําพิธีบังสุกุลกรวดน้ําเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไป แล้ว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและเพื่อความสามัคคีในระหว่างเพื่อนบ้าน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึง การทําบุญในเทศกาลสารทไทยไว้ว่า

อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น

ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาควัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา 

4.3.3 ประเพณีเกี่ยวกับศาสนา ประเพณีเกี่ยวกับศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน คือ ประเพณีการเทศน์มหาชาติ การเทศน์มหาชาติ มีความเชื่อว่า การได้มีโอกาสฟังเทศน์มหาชาติครบ 13 กัณฑ์ ในหนึ่งวันถือว่าเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่มาก ว่าถ้ามนุษย์สามารถฟัง เทศนามหาชาติ ที่มีตัวอย่างเช่น พระเวสสันดร ซึ่งมีความตั้งใจว่าจะให้ทานทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สมบัติ ลาภยศ ลูกเมีย คนใดก็ตามที่ละสิ่งเหล่านี้ได้ย่อมมีคุณอันยิ่งใหญ่ต่อตนเองและผู้อื่น สําหรับ วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผนได้กล่าวถึงประเพณีการเทศน์มหาชาติว่าจัดให้มีในเดือน 10 เพื่อทําเนื่องกับ เทศกาลสารทไทย กวีได้กล่าวถึงการประกอบพิธีกรรมของชาวบ้านว่า

อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น 

ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาดวัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา

 พระมหาชาติทั้งสิบสามกณฑ์ วัดป่าเลไลยก์นั้นพระวัดหน้า

 ตาปะขาวเฒ่าแก่แซ่กันมา พร้อมกันนั่งปรึกษาที่วัดนั้น

บ้างก็รับเอาทศพรหิมพานต์ บ้างก็รับเอาทานกัณฑ์นั่น 

4.4 ความเชื่อ จากวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ภาพสังคมวัฒนธรรมของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ในระยะเวลาดังกล่าว “ความเชื่อและไสยศาสตร์” ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคมไทย ความ เชื่อลักษณะนี้จะปรากฏเด่นชัดในการประกอบพิธีธรรม เพราะพิธีกรรมต่าง ๆ จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากคนทุกชั้น ดังนั้น เรื่องราวของขุนช้างขุนแผนจึง กําหนดให้ตัวละครต้องเกี่ยวข้องกับความเชื่อและไสยศาสตร์เกือบตลอดทั้งเรื่อง การพิจารณาเรื่อง “ความ เชื่อและไสยศาสตร์” ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผน” จึงน่าจะช่วยให้เรามองเห็นความเชื่อและวิธีแก้ปัญหา ของคนไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้โดยอ้อม

4.4.1 ความฝัน สําหรับความเชื่อที่ปรากฏมากที่สุดในเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้แก่ ความเชื่อเรื่อง ความฝัน ซึ่ง “ความฝัน” ที่ปรากฏในเรื่อง มักจะเป็นความฝันเพื่อบอกเหตุที่กําลังจะเกิดขึ้น สามารถแบ่งได้ เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ ได้แก่

1.ฝันดี เช่น นางทองประศรีฝันว่าได้แก้ว ต่อมาก็ตั้งครรภ์ พอคลอดลูกออกมาเป็นชาย ก็ตั้งชื่อ ว่า พลายแก้ว หรือขุนแผน พระเอกของเรื่อง

2.ฝันร้าย เช่น นางวันทองฝันว่ามีคนมาทําร้ายพลายงาม ซึ่งสอดคล้องกับ เหตุการณ์ที่ขุนช้าง ลวงพลายงาม ลูกชายของวันทองที่เกิดจากขุนแผนไปฆ่าในป่า เนื่องจากรู้สึกอับอาย ที่ผู้คนต่างพากัน ล้อเลียน

4.4.2 ลางสังหรณ์ ความเชื่ออีกประเภทหนึ่งที่ปรากฏ ได้แก่ “ความเชื่อเรื่องลางสังหรณ์” ส่วน ใหญ่ “ลางสังหรณ์” ที่ปรากฏในเรื่องจะเป็นลางร้าย มากกว่า ลางดี เช่น นางวันทองเห็นแมงมุมกําลังทุ่มอก

ตัวเอง เมื่อคราวที่ พลายงามกําลังจะถูกขุนช้างฆ่าอยู่กลางป่า หรือตอนที่ขุนแผนกําลังจะเอาดาบฟันขุนช้าง ขณะที่ขุนช้างนอนหลับอยู่ ก็มีจิ้งจกร้องทักขึ้น ขุนแผนจึงได้สติมิได้ฆ่าขุนช้าง ตัวอย่าง เสภา ตัวอย่าง ลาง ร้ายที่เณรพลายแก้วเจองู ความว่า

ก้าวลงอัฒจันทร์ถึงชั้นล่าง งูเห่าหางเลื้อยฟชหัวร่อน

แผ่แม่เบี้ยขวางหนทางจร เณรเห็นสังหรณ์เป็นลางร้าย

 4.4.3 ไสยศาสตร์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.ไสยขาว เป็นไสยศาสตร์ที่มิได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เช่น การดูเมฆเพื่อหาฤกษ์ยาม

2.ไสยดํา จัดเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นไสยศาสตร์ที่มุ่งทําร้ายผู้อื่น สําหรับ ไสยศาสตร์ประเภทนี้ที่ ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ การทําเสน่ห์ โดยเฉพาะ “การฝังรูปฝังรอย” เช่น ตอนที่เถนขวาคทําเสน่ห์ให้พลายงาม มารักนางสร้อยฟ้า ภรรยาน้อย เป็นต้น

4.4.4 เครื่องราง เช่น ผ้าซิ่น หรือ ตะกรุด ก็เช่นเดียวกัน เรามักพบหลักฐานเกี่ยวกับการ "ใช้" ตะกรุด และเครื่องราง ในงานวรรณกรรมไทยหลายต่อหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน

4.4.5 พุทธศาสนา ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้น ชาวบ้านมีความเคารพในพระพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เช่น การทําบุญฟังเทศน์ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงมีคําสอนที่ สอดแทรกอยู่พิธีกรรมทางศาสนา ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน อยู่มากมาย

4.4.6 ความเชื่อในอํานาจพระมหากษัตริย์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ ทรงมีอํานาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองและทรงตัดสินคดีความต่างๆ หากมีผู้ถวายฎีกา รวมทั้งสามารถให้คุณให้โทษแก่ทุกคนได้ ทําให้พสกนิกรมีทั้งความจงรักภักดี ความกลัว เกรง และความเชื่อในอํานาจของพระมหากษัตริย์ ตัวละครทุกตัวในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้าง ถวายฎีกา ล้วนมีความเชื่อในอํานาจของพระมหากษัตริย์ ทั้งพลายงาม นางวันทอง ขุนแผน และขุนช้าง แส คงความเชื่อทางด้านนี้ชัดเจนที่สุด

 

 4.5 ภูมิปัญญา

4.5.1 ด้านภาษาและคําสอน การเขียนวรรณกรรมขุนช้างขุนแผนนี้ขึ้นเป็นการถ่ายทอดความคิด เป็น การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อรสชาติทางภาษา เพื่อจูงใจเพื่อความติดใจและประทับใจ ทําให้ผู้อ่าน สามารถสังเกต จดจํานําไปใช้ก่อให้เกิดการใช้ภาษาที่ดี ทั้งการใช้คํา การใช้ประโยค การใช้โวหาร การใช้ ภาษาในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นตัวอย่างที่ดีที่คนไทยยึดถือและจดจําได้อย่างขึ้นใจ เช่น สํานวน คํา ให้พร คําสู่ขวัญ การเปรียบเปรย อุปมาอุปไมย คําคม และสุภาษิต ตอนที่ นางทองประศรีสอนสั่งขุนแผน ก่อนไปรับราชการในวัง เป็นสุภาษิตสอนใจ ความว่า

“จงอุตส่าห์อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ฝึกหัดราชการให้จงได้” 

บทเสภา ตอนที่ขุนแผนต่อว่านางวันทอง เป็นการเปรียบเปรยว่า กา คือ นางวันทอง

“เมื่อแรกเชื่อว่าเป็นเนื้อทับทิมแท้ มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้ 

กาลวงว่าหงส์ให้ปลงใจ ด้วยมิได้ดูหงอนแต่ก่อนมา”

4.5.2 ด้านกฎหมาย ในสมัยก่อนไม่มีตัวบทกฎหมายที่แน่นอน พอมีคดีความอะไรก็ต้องอาศัยพระราช วินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ และก็ขึ้นอยู่กับพระอารมณ์ด้วย ดังบทเสภา ตอนที่สมเด็จพระพันวษาจะทรง ตัดสินคดีชิงชู้ระหว่างขุนช้างและขุนแผน ความว่า

“ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร ฟังทูลตามคําลูกขุนว่า”

“วันทองส่งคืนขุนแผนไป ตามในพระราชกฤษฎีกา” 

4.5.3 ด้านการรักษาโรค ในบทเสภาได้กล่าวถึงว่าน ที่มีสรรพคุณที่ใช้เป็นยาในการรักษาโรค ดังเสภา ที่ว่า

“ถึงลาวคาดเครื่องอานกินว่านยา ถูกดาบมรณาลงคาคดิน”

 4.5.4 ด้านที่อยู่อาศัย “คุ้มขุนช้าง" เป็นเรือนไทยหลังใหญ่ สร้างตามบทพรรณนาเรือนของขุนช้างใน วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน สะท้อนภาพถึงภาวะบ้านเรือนไทยของเศรษฐีไทยโบราณ ว่ามีรั้วรอบขอบดู แบ่งเป็นชั้นเป็นดอยอย่างไร มีไม้ประดับและเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง สถาปัตยกรรมอย่างเรือนไทยโบราณนั้นได้ แบ่งห้องหอเรือนนอน หอกลาง ชานดอกไม้ และโรงเรือนข้าทาสเอาไว้เป็นส่วน ที่นอกชานมักใช้ปลูกไม้ กระถาง วางอ่างน้ํา ปลูกตะโกคัดและบอนไซ ซึ่งคนแต่ก่อนนิยมปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้เชยชม ดังตัวอย่าง เสภาในหัวข้อภูมิปัญญาด้านการเกษตรที่กล่าวถึงนอกชานของเรือนขุนช้างไว้อย่างน่ารื่นรมย์

4.5.5 ด้านการเกษตร ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวัน ทองเมียรักกลับคืนมานั้น บรรยายบรรยากาศบนชานเรือนของขุนช้าง ซึ่งเป็นคหบดีเมืองสุพรรณไว้น่าดูนัก อ่านแล้วรู้สึกรื่นรมย์ มีไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกอยู่กลางชานเรือนของขุนช้าง อาทิเช่น พิกุล ยี่สุ่น ข่อย กุหลาบ มะลิซ้อน เป็นต้น ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวันทอง เมียรักกลับคืน ความว่า

“โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ ของขุนช้างสร้างไว้อยู่ดาษดื่น”

 “กระถางแถวแก้วเกตพิกุลแกม ยี่สุ่นแซมมะสังคัดคูไสว” 

“ยี่สุ่นกุหลาบมะลิซ้อน ซ้อนชูชูกลิ่นถวิลหา”

“ลําดวนยวนใจให้ไคลคลา สายหยุดหยุดช้าแล้วยืนชม”

 “มะสังคัด” หรือบอนไซ ในปัจจุบัน มาอยู่บนเรือนดอกไม้แสดงว่าขุนช้างนั้นเล่น “บอนไซ” มาเก่า พอๆ กับคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็มีเรือนแขวนกรงนกชนิดต่างๆ รวมทั้งเลี้ยงปลาพันธุ์สวยๆ งามๆ เอาไว้มาก สมฐานานุรูปของเศรษฐีไทยทุกระเบียด

4.5.6 ด้านเครื่องดนตรี บทเพลง และการละเล่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนทําศพนางวันทอง มี การละเล่นต่างๆ เช่น การละเล่นเพลงปรบไก่ ไว้ด้วยว่า

นายแจ้งก็มาเล่นเต้นปรบไก่ ยกไหล่ใส่ทํานองร้องจ่าฉ่า

 รําแต้แก้ไขกับยายมา เฮฮาครื้นครั่นสนั่นไป

เพลงปรบไก่ เป็นการละเล่นพื้นเมืองมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่า จะเก่าแก่กว่าเพลงพื้นบ้านประเภท อื่น ๆ ของภาคกลางผู้เล่นร้องโต้ตอบกันโดยยืนเป็นวงกลม มักร้องหยาบๆ สามารถเล่นเป็นเรื่องได้ เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน เพื่อบวงสรวงศาลประจําหมู่บ้านและทําพิธีขอฝน ชาวบ้านดอนข่อยไร่คาวังบัวที่ โยกย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นจะกลับมาร่วมพิธีบวงสรวงศาลทุกปี เพราะเชื่อกันว่าถ้าใครไม่กลับมาบูชา ตนเองและ สมาชิกในครอบครัวจะประสบเหตุร้ายหรือเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งยังเชื่อว่าความทุกข์ร้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคนใน หมู่บ้าน ตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เมื่อขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อปู่แล้วจะช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ ร้อนทั้งหลายให้สิ้นไป ดังนั้นเมื่อผู้ใดเดือดร้อนจึงมักบนบานหลวงพ่อปู่เสมอและเมื่อพ้นทุกข์แล้วก็จะแก้ บนด้วยการเล่นเพลงปรบไก่มีเครื่องดนตรีที่ปรากฏในวรรณกรรม อาทิเช่น วงมโหรี ปีอ้อ ซอ แคน ฆ้องวง ระนาด ล้อ ดังตัวอย่าง จากบทเสภา ตอนที่ วงมโหรีในพิธีแต่งงานของพระไวยกับศรีมาลา ดังเสภา 

“จุดประทีปแสงประเทืองเรืองรอง มโหรีแซ่ซ้องประสานซอ” 

“ฆ้องวงหน่งหนอดสอดเสียงซอ ระนาคตอคลอดล้อบรรเลงลอย”

“ที่นักเลงขับร้องก็ตรองเตรียม เอี่ยมเคี้ยเพลี้ยแคนทั้งปีอ้อ 

มีวรรณกรรมตอนหนึ่งใช้เป็นเนื้อเพลงไทย ที่รู้จักกันมากที่สุดเพลงหนึ่ง ก็คือเพลงสุดสงวน มี ตัวอย่างเนื้อร้องจากบทเสภา ดังนี้

น้อยเอ๋ยเพราะน้อยฤาถ้อยคํา หวานฉ่จริงแล้วเจ้าแก้วเอ๋ย

เจ้าเนื้อหอมพร้อมชื่นดังอบเชย เงยหน้ามาจะว่าไม่อําพราง

 4.5.7 ด้านเครื่องนุ่งห่ม ที่ปรากฏในวรรณกรรม อาทิเช่น ผ้าซิ่น นุ่งยก ห่มส่าน ห่มสไบ เป็นเครื่องแต่ง กายของคนในสมัยนั้น การนุ่งยกถ้าเป็นคนที่มีฐานะหน่อยอย่างเช่นขุนช้างดังตัวอย่างจากบทเสภาก็จะนุ่งยก

ทอง

“บ้างมีทองของแห้งเครื่องแต่งตน เอาซุกซนซ่อนไว้ในผ้าซิ่น”

“ขุนช้างรับหม้อใหม่เข้าในห้อง นุ่งผ้ายกทองแล้วห่มส่าน” 

4.5.8 ด้านอาหารและเครื่องมือประกอบอาหาร ภูมิปัญญาที่ปรากฏในวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน เกี่ยวกับอาหารและเครื่องมือประกอบอาหาร มีมากมาย เช่น ครก สาก หม้อข้าว หม้อแกง ปลาร้า ปลาแห้ง น้ําปลา ส้มลิ้ม การแช่อิ่มอาหาร ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ ราษฎรเมืองเชียงใหม่เก็บข้าวของย้ายไปกรุง ศรีอยุธยาหลังแพ้สงคราม

“บ้างเรื่อยกลักจักกระบอกกรอกปลาร้า ทั้งน้ําปลาปลาแดกเอาแทรกใส่ 

พริกกะเกลือเนื้อกวางเอาย่างไว้ บ้างเย็บได้ใส่ข้าวตากจัดหมากพลู

 ครกกระบากสากจ่าปลาร้าปลาแห้ง หม้อข้าวหม้อแกงกระทะหู”

“จึงเย็บได้ใส่ขนมกับส้มลิ้ม ทั้งแช่อิ่มจันอับลูกพลับหวาน”

 แกงบวน ที่ปรากฏในบทเสภา เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ นับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะนํา สมุนไพรหลายอย่างมาเป็นเครื่องปรุงและยังเป็นยารักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น ใบขี้เหล็กเป็นยาระบาย

กระวานแก้ท้องร่วง ตะไคร้ขับลม ปัจจุบันมีการถ่ายทอดภูมิปัญญา วิธีการทําแกงบวน กันในครอบครัวบ้าง แต่ไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะแกงบวนเป็นอาหารคาวและมีรสเค็ม หวาน และไม่มีรสเผ็ด ซึ่งคนรุ่นหลังจะไม่

ชอบนิยม

“ทําน้ํายาแกงขมต้มแกง บ้างทําห่อหมกปกปิดไว้

ผ่าฟักจักแฟงพะแนงไก่ ต้มไข่ผัดปลาแห้งทั้งแกงบวน”

5 คุณค่าภูมิปัญญา 

5.1 ภูมิปัญญาที่มีแนวโน้มจะเลือนหายไปจากปัจจุบัน

- การทําคลอดโดยหมอตําแย เนื่องจากวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพมาก ทั้งตัว ยาที่มีคุณภาพหรือจํานวนหมอที่มีความสามารถมีมากขึ้น ดังนั้นหมอตําแยแบบโบราณ ซึ่งเป็นภูมิปัญาญา ท้องถิ่นจึงมีแนวโน้มที่จะเลือนหายไป หมอตําแยในอดีตสามารถเปรียบเปรยได้ว่าเป็นต้นแบบของตํารวจ ไทยในเรื่องของการทําคลอด ดังข่าวที่ตํารวจทําคลอดให้หญิงมีครรภ์ในรถแท็กซี่

- การโกนจุก ปัจจุบันแฟชั่นได้เข้ามามีอิทธิพลในสังคมสมัยใหม่เป็นอย่างมากพ่อแม่สมัยใหม่จึงไม่ นิยมให้ลูกไว้จุก เนื่องจากไม่ทันสมัย ดังนั้นเมื่อไม่มีเด็กไม่ไว้จุก พิธีการ โกนจุกจึงมีแนวโน้มที่จะเลือก หายไป

- การอยู่ไฟ เนื่องด้วยปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มากนั้น รวมถึงวิถีชีวิตที่เร่งรีบในการทํางาน ทําให้วิธีการอยู่ไฟของหญิงหลังคลอดในอดีตเรือนหายไป 

5.2 ภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่าง เช่น

- ประเพณีการบวช เพื่อให้ลูกผู้ชายได้บวชเรียน ศึกษาวิชาความรู้ ศึกษาพระธรรม ชําระจิตใจ - ประเพณีการตาย เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติว่าไม่ให้ทําชั่ว ตายไปก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้

- ประเพณีการแต่งงาน เป็นการทําพิธีเพื่อแสดงให้สังคมรับรู้ว่าชายหญิงได้เป็นสามีภรรยากันอย่าง ถูกต้องตามประเพณี นั่นคือกุศโลบายเพื่อประกาศว่าผู้ที่แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน คนอื่นจะได้ไม่มาคิดผิด ลูกผิดเมีย

- การเลี้ยงบอนไซ เนื่องจากสามารถทํารายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ จึงมีการสืบทอดมาถึง ปัจจุบัน 

5.3 ภูมิปัญญาที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส

 5.3.1 ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม ทางตรง ที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส

ส้มลิ้ม หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า ส้มแผ่น ควรพัฒนาในเรื่องของรูปแบบของตัวผลิตภัณฑ์และ มูลค่าเพิ่ม เช่น ทําเป็นวงกลมขนาดพอดีคําแล้วใส่ชาเขียวเพื่อสุขภาพ ห่อด้วยกระดาษแก้วทุกชิ้น รวมถึงคิด แพ็คเกจจิ้งที่มีดีไซน์ใหม่ ๆ ชวนให้น่าซื้อ ซึ่งจะเห็นได้จากรูปแบบของแพ็คเกจจิ้งของขนมญี่ปุ่นที่มีรูปแบบ สวยงามน่าซื้อบอนไซ เป็นศิลปะของการย่อส่วนต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มาเป็นต้นไม้ขนาดเล็ก โดยมี กิ่งก้านสาขารูปทรงเหมือนธรรมชาติเดิม มาปลูกในภาชนะที่มีขนาดแบนหรือเล็กที่เหมาะสมกับลําต้น ทํา

ให้ดูแล้วสัดส่วนเข้ากันดี เนื่องจากบอนไซเป็นศิลปะที่สวยงาม สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและ ครอบครัวได้

 5.3.2 ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม ทางอ้อม ที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส

การเลี้ยงบอนสี เกิดจาการผูกเรื่องราวของบอนสีกับวรรณกรรมโดยการเชื่อมโยงบุคลิกตัวละคร จากวรรณกรรมให้ตรงตามลักษณะบอนสี ปัจจุบันบอนสายพันธุ์เก่า ๆ เช่น บอนในตระกูลขุนช้างขุนแผน ได้แก่บอนขุนแผน บอนขุนช้าง บอนเถรกวาด และบอนแก้วกิริยา เริ่มหายากมากขึ้น ดังนั้นการส่งเสริมการ เลี้ยงบอนสีในลักษณะการสะสมและอนุรักษ์ไม่ให้สูญพันธุ์ โดยโยงใยไปสู่การทําเป็นอาชีพ จนกลายเป็น อาชีพอย่างมั่นคงเพื่อส่งขายให้ทั้งภายในและต่างประเทศ จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับตนเอง ครอบครัว และชุมชนได้

- ภาพวาด ของจักรพันธุ์ โปษยกฤต ส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมไทย เรื่องขุนช้าง ขุนแผน ซึ่งนับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาทางด้านศิลป์ ที่ต่อยอดมาจากวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ซึ่งสามารถสร้าง โอกาสทางเศรษฐกิจได้

การจัดทัวร์สถานที่ทางภูมิศาสตร์ เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นสถานที่มีอยู่จริงๆ ในบ้านเมืองเรา จึงควร นํามาเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงวรรณกรรม เช่น จัดทัวร์ เที่ยว.สุพรรณบุรี.ดินแดนกําเนิดวรรณกรรมขุน ช้าง-ขุนแผน ซึ่งมี วัดป่าเลไลยก์ คุ้มขุนช้าง ที่น่าดูชม

6. บทสรุป

การศึกษาเรื่องราวต่างๆ จากวรรณกรรมย่อมได้ข้อมูลที่แสดงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในอดีตได้ อย่างแท้จริง กระบวนวรรณกรรมไทยทั้งหมดเสภาขุนช้างขุนแผน สะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี ความเชื่อ ศิลป การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา การศาล ศาสนา การคมนาคม ภูมิศาสตร์ ความ เป็นอยู่ชีวิตในสังคมและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจําวัน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายของคนไทยในระดับชั้น ธรรมดาสามัญ

ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีความเชื่อมโยงกันในลักษณะที่เป็นรูปธรรม คือ การทําพิธีกรรมต่างๆ ในช่วงที่มี การเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์ที่สําคัญของชีวิต และในลักษณะที่เป็นนามธรรม คือ ความรู้ ความเชื่อ วิธีการประพฤติปฏิบัติตน เริ่มตั้งแต่ประเพณีการเกิด เป็นการทําพิธีเพื่อให้หญิงมีครรภ์คลอดลูกง่ายและ ปลอดภัยทั้งมารดาและทารก ประเพณีการทําขวัญ เป็นการทําพิธีเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลและเพื่อ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ประเพณีการโกนจุกเป็นการทําพิธีเพื่อเปลี่ยนสถานภาพจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ประเพณีการบวช เป็นการทําพิธีเพื่อให้เด็กผู้ชายได้ศึกษาวิชาความรู้และศีลธรรมจรรยาจากพระสงฆ์ที่วัด ประเพณีการแต่งงาน เป็นการทําพิธีเพื่อแสดงให้สังคมรับรู้ว่าชายหญิงได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง ตามประเพณี และเป็นวิธีการสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ให้คงอยู่ต่อไป ประเพณีการตาย เป็นการทําพิธี โดยมี จุดประสงค์เพื่อต้องการให้วิญญาณของผู้ตายไปสู่โลกหน้าอยู่มีความสุข ภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้สะท้อนให้ เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนอื่นๆ ในสังคมคนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติภูมิปัญญา

ท้องถิ่นจึงเป็นกระบวนการทางความคิดในการสร้างแบบแผนการดําเนินชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจจิตใจของคนให้มั่นคง เข้มแข็ง เกิดความสบายใจและเพื่อประโยชน์ในการดําเนิน ชีวิตของมนุษย์ ให้สามารถอยู่รวมกันได้อย่างมั่นคงปลอดภัย และสงบสุข ข้อสําคัญ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ ปรากฏในวรรณกรรม ยังนํามาทําประโยชน์เพื่อการดํารงชีพ โดยสามารถโยงใยไปสู่การทําเป็นอาชีพ จน กลายเป็นอาชีพอย่างมั่นคงเพื่อส่งขายให้ทั้งภายในและต่างประเทศ นํามาซึ่งรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

7 รายการอ้างอิง

โกวิท ตั้งตรงจิตร. คุยเฟื่องเรื่องขุนช้างขุนแผน กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2547. ชวน เพชรแก้ว, การศึกษาวรรณกรรมไทย กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2524. ภิญโญ ศรีจําลอง, ความยิ่งใหญ่แห่งวรรณกรรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์, 2548. ม่าน เมืองพรหม. ขุนช้างขุนแผน กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์, 2543. วิเชียร เกษประทุม, เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน กรุงเทพฯ : เรืองแสงการพิมพ์, 2513.

สายทิพย์ นุกูลกิจ, วรรณกรรมเกี่ยวกับขนบประเพณี กรุงเทพฯ : การพิมพ์พระนคร, 2533 เอกรัตน์ อุดมพร. วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-2-3 กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์, 2548.

 

Pages