สุรพล
สมบัติเจริญ (ตำนานที่ไม่เคยตาย)
“ลืม...ผมหรือยังครับแฟน...เมื่อก่อนเคยฟังกันแน่น
แฟนจ๋าแฟนลืมผมหรือยัง....”
บทเพลง
“แฟนจ๋า” ที่ร้องออดอ้อนแฟนเพลงได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งนี้ ทำให้หลายคนที่ได้ฟัง อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเจ้าของผลงานเพลงคนนี้
เพราะเขาคือ “ราชาเพลงลูกทุ่ง” ผู้โด่งดังที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เมืองไทยเคยมีมา
ผมเชื่อว่าถ้าใครเป็นแฟนเพลงของ สุรพล
สมบัติเจริญ แล้วล่ะก็ ถ้าได้ยินเพลงนี้เข้า ต้องคิดถึงเขาแน่ ๆ
คงไม่มีทางลืมเขาได้ลงคอ
๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๐ วงการเพลงของโลก สูญเสีย
เอลวิส เพรสลี่ย์ “ราชาเพลงร็อก แอนด์ โรล” ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชาวโลกรู้จักกันดี
เขาจากไปพร้อมกับความโศกเศร้าเสียใจของเหล่าแฟนเพลงทั่วโลก แต่ก่อนหน้านั้น
คนไทยทั้งประเทศก็ต้องพบกับการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน กับการจากไปของ “ราชาเพลงลูกทุ่ง”
สุรพล สมบัติเจริญ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม เช่นกัน แต่เป็นปี พ.ศ.๒๕๑๑
๑๖ สิงหาคม
จึงเป็นวันที่แฟนเพลงต่างร่วมรำลึกถึงราชาเพลงผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนนี้
โดยเฉพาะรายการเพลงทางสถานีวิทยุต่าง ๆ
คงเปิดเพลงของราชาเพลงทั้งคู่กันทั้งวันเลยทีเดียว
เดิมทีเพลงลูกทุ่งนั้น
ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นเพลงในกลุ่มเดียวกันกับเพลงไทยสากล
โดยยังไม่มีการแยกประเภทเพลงไทยสากลออกเป็น “ลูกทุ่ง” หรือ “ลูกกรุง”
เพราะบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการดนตรีในเวลานั้นต่างประสงค์ที่จะไม่ให้มีการแบ่งแยกประเภทของเพลงไทยสากลออกจากกัน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แนวเพลงพื้นบ้านที่มีคำร้อง คำบรรยาย กล่าวถึงวิถีของชาวชนบท
ชีวิตของหนุ่มบ้านนอก สาวบ้านนา และความยากจน
ที่มีนักร้องกลุ่มหนึ่งในขณะนั้นนิยมร้อง ก็ถูกชาวบ้านเรียกขานกันว่าเป็น “เพลงตลาด”
จนกระทั่งปลายปี พ.ศ.๒๕๐๗ รายการเพลงของสถานีไทยโทรทัศน์
ซึ่งจัดโดย ประกอบ ไชยพิพัฒน์ และเปิดเฉพาะ “เพลงตลาด” ที่ใช้ชื่อว่า “รายการเพลงลูกทุ่ง”
นั้น กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากบรรดาผู้ฟัง ทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “เพลงลูกทุ่ง”
ก็ถูกแยกออกเป็นเอกเทศอย่างชัดเจนจากเพลงลูกกรุงโดยปริยาย
ในหนังสือกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย
ได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า “เพลงลูกทุ่ง” หมายถึง “เพลงที่สะท้อนวิถีชีวิต
สภาพสังคมอุดมคติ และวัฒนธรรมไทย โดยมีท่วงทำนอง คำร้อง สำเนียง และลีลาการร้อง
การบรรเลง ที่เป็นแบบแผน มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งให้บรรยากาศความเป็นลูกทุ่ง”
ความนิยมของวงดนตรีลูกทุ่งยุคนั้นนอกจากจะวัดกันที่พวงมาลัยที่เหล่าแฟนเพลงคล้องให้นักร้องจนท่วมหัวแล้ว
ยังวัดกันที่การประชันวงกันแบบซึ่ง ๆ หน้า ชนิดที่เรียกได้ว่าหันหน้าชนกันครั้งละ
๓ – ๔ วง ตามงานประจำปีของวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะวัดที่มีชื่อเสียงทางภาคกลาง เช่น
จังหวัดอยุธยา สุพรรณบุรี ราชบุรี และนครปฐม หากแฟนเพลงไปรวมตัวกันชมดนตรีอยู่ที่หน้าวงไหนมากที่สุด
ก็ถือกันว่าวงนั้นเป็นวงยอดนิยมของขวัญใจมหาชนตัวจริงเสียงจริง
สุรพล สมบัติเจริญ
เป็นผู้ที่ทำให้เพลงลูกทุ่งพุ่งผงาดอยู่ในความนิยมของวงการเพลง
ด้วยลีลาและรูปแบบเฉพาะตัว การได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชาเพลงลูกทุ่ง”
ก็เพราะความมีอัจฉริยะในตัวเองที่สามารถแต่งเพลงเองและร้องเพลงเองได้ด้วย
เขาเริ่มชีวิตการร้องเพลงจากกองดุริยางค์ทหารอากาศ
และมีโอกาสได้ร้องเพลงในงานสังสรรค์ต่าง ๆ ที่กองทัพอากาศได้รับเชิญไปให้แสดง
จนได้รับการสนับสนุนให้ได้บันทึกแผ่นเสียงเป็นครั้งแรกในเพลง “น้ำตาลาวเวียง”
ตามมาด้วยเพลง “ชูชกสองกุมาร” ที่ทำให้ “สุรพล สมบัติเจริญ”
เริ่มเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ
สุรพล สมบัติเจริญ
เป็นคนที่มีใจฝักใฝ่ในการทำเพลงตลอดเวลา ไม่ว่าตนเองจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม คนใกล้ชิดคนหนึ่งของเขาเล่าว่า
“ค่ำวันหนึ่ง สุรพล ชวนผมขี่รถเวสป้าคันโปรดเพื่อที่จะไปธุระด้วยกัน
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย อยู่ ๆ เขาก็ฮัมขึ้นเป็นเพลงว่า
หนาวจะตายอยู่แล้ว...ว...ว...และหลังจากนั้นไม่กี่วันก็กลายมาเป็นเพลงสุดฮิตอีกเพลงของเขา...หนาวจะตายอยู่แล้ว”
นอกจากนี้ สุรพล สมบัติเจริญ
ยังทำหน้าที่เป็นครูเพลง ทั้งแต่งเพลงให้คนอื่นร้อง ทั้งปลุกปั้นนักร้องรุ่นน้องจนโด่งดังมีชื่อเสียงอีกมากมาย
อย่างเช่น ผ่องศรี วรนุช, ไพรวัลย์ ลูกเพชร, ละอองดาว สกาวเดือน, ยงยุทธ
เชี่ยวชาญชัย, เมืองมนต์ สมบัติเจริญ เป็นต้น
สุรพล สมบัติเจริญ ถูกยิงเสียชีวิต
หลังจากการแสดงบนเวทีที่จังหวัดนครปฐม เมื่ออายุเพียง ๓๗ ปี
เขาจากไปโดยได้ทิ้งผลงานเพลงที่แต่งเองและร้องเองเป็นชิ้นสุดท้ายเอาไว้ นั่นคือเพลง
“๑๖ ปีแห่งความหลัง” และยังเป็นเพลงสุดท้ายที่เขาร้องก่อนก้าวลงจากเวทีในคืนวันที่
๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๑ อีกด้วย
ที่มา: จากหนังสือมอร์มูฟแม็กกาซีน ( Moremove
Magazine) เล่มที่ ๓๓
ประจำเดือน สิงหาคม ๒๐๑๐