ปรีดี
พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ปรีดี พนมยงค์
ผู้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ด้านการเมืองการปกครองของไทยช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
หรือราว 70 ปี ที่ผ่านมา
แม้ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
ที่มีอายุสูงวัยกว่านั้นหรือเกิดก่อนนั้นคงจะมีน้อยเต็มที
หลายท่านก็ยังคงเป็นเด็กเกินกว่าที่จะรับรู้เรื่องการเมือง...ทว่านาม ปรีดี
พนมยงค์ นามนี้ดูเหมือนว่าชาวไทยแทบทุกวัยในวันนี้จะคุ้นเคย
แต่ก็อาจจะยังไม่รู้จักมักจี่กันดีว่า ท่านผู้นี้คือใครกัน
นายกรัฐมนตรีคนที่ ๗
ตำแหน่งนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้นาม ปรีดี พนมยงค์
ยังคงเป็นอมตะมาจนทุกวันนี้
หนึ่งในกลุ่มคณะราษฎร ผู้นำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย
ผู้ประสานงานขบวนการเสรีไทยในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
และดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นคนแรก
ซึ่งฐานะหลังนี้เองที่ยิ่งสนับสนุนให้ท่านโดดเด่นในวงการการเมืองการปกครองของไทยเป็นอย่างยิ่ง
เพราะศิษย์จากรั้วมหาวิทยาลัยนี้นับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างสูงในการปกครองประเทศไทยตลอดมา
ประวัติ: ท่านเป็นชาวกรุงเก่า
หรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเรือนแพย่านวัดพนมยงค์ ลูกชาวนาชาวสวนที่มีฐานะดี
สอบไล่ที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ได้เป็นเนติบัณฑิตสยาม เมื่ออายุเพียง ๑๙
ปี จากนั้นก็ได้รับทุนไปศึกษาต่อวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส
ได้รับปริญญาทางกฎหมาย และได้ “ลิซองซิเอ ทางกฎหมาย”
จากนั้นศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส ได้ดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมาย ( Docteur en
Droit)
ฝ่ายเนติศาสตร์ และประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐศาตร์ จากมหาวิทยาลัยปารีส
หลังจากกลับประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.
๒๔๖๙ นายปรีดี พนมยงค์ได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรม
แล้วย้ายไปเป็นเลขานุการกรมร่างกฎหมายและเป็นอาจารย์สอนกฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมาย
จนกระทั่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น อำมาตย์ตรีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๗๒
หลวงประดิษฐ์มนูธรรมรับเป็นหัวหน้าสายพลเรือน
เป็นผู้รับผิดชอบ ในการร่างแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญการปกครอง
และเป็นผู้ดูแลการบริหารราชการหลังการปฏิวัติ และในที่สุดการปฏิวัติก็ประสบผลสำเร็จ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยอมรับเงื่อนไขของคณะราษฎร ที่จะให้มีการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญ
และจำกัดอำนาจการบริหารของพระมหากษัตริย์ และให้มีรัฐสภา
และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เมื่อก่อตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของไทยชุดแรกสำเร็จ
ท่านเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลด้วย
เมื่อถึงช่วง พ.ศ. ๒๔๗๖
ท่านได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นเสนอรัฐบาล แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ
และถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องเดินทางออกนอกประเทศ
กระทั่งต่อมาไม่นานพันเอกพระยาพหลพล-พยุหเสนาทำรัฐประหารอีกครั้งและได้ตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนคดีดังกล่าวปรากฎว่า นายปรีดี พนมยงค์ ไม่มีมลทิน และนายปรีดี พนมยงค์
ได้รับแต่งตั้งให้เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
และท่านยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ
ภายใต้การนำของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง นายปรีดี
พนมยงค์ ได้รับ แต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส
นายปรีดี พนมยงค์
เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ ๗ ของไทย เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙
และช่วงที่ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย คือ
ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้เกิดกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วยพระแสงปืน นายปรีดี พนมยงค์ และรัฐบาลของเขาถูกโจมตีอย่างหนักว่าปิดบังและอำพรางความจริงในกรณีสวรรคต
รวมทั้งไม่สามารถหาข้อเท็จจริงในการสวรรคตมาแจ้งให้ประชาชนทราบได้ ในที่สุดนายปรีดี
พนมยงค์ จึงต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ต่อมามีรัฐประหารอีกครั้ง นายปรีดี พนมยงค์
ต้องหลบหนีไปพำนักอยู่ที่มาเลเซีย จนลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในจีน
กระทั่งถึงแก่สัญกรรมด้วยโรคหัวใจวายที่บ้านพักชานกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๒๖ รวมอายุได้ ๘๓ ปี
ที่มา
: จากคอลัมน์ Someone
Special ของ Together MagaZine ปีที่ 3 ฉบับที่
30 เมษายน 2555