วันอังคาร, เมษายน 17, 2561

การเดินทางของส้มตำ

ส้มตำ(Somtam)

       ประวัติส้มตำ
       คนมักเข้าใจกันผิดว่าส้มตำเป็นอาหารพื้นเมืองของภาคอีสานหรือของลาว แท้จริงแล้วส้มตำเป็นอาหารสมัยใหม่ถือกำเนิดมาราว 40 ปีเท่านั้น เนื่องจากมะละกอเป็นพืชที่นำเข้ามาจากเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย ในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งในตอนนั้นรัฐบาลไทยให้สหรัฐอเมริกา เข้ามาตั้งฐานทัพ และตัดถนนมิตรภาพเพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงยุทโธปกรณ์ไปยังพื้นที่สู้รบ พร้อมกันนั้นได้นำเมล็ดพันธุ์มะละกอไปปลูกสองข้างทางของถนนมิตรภาพ มะละกอจึงเผยแพร่ไปสู่ภาคอีสาน เปิดโอกาสให้ชาวอีสานได้ประดิษฐ์ส้มตำขึ้น
        ส้มตำ เป็นอาหารที่คนอีสานชอบและกิน กินกับข้าวเหนียวหรือกินเล่นๆ ก็ได้ คนภาคอีสานและภาคเหนือเรียกว่า ตำส้ม การทำส้มตำทำง่ายๆ คือ นำมะละกอที่แก่จัดมาปลอกเปลือกออก ล้างเอายางออกให้สะอาดแล้วสับไปตามทางยาวของลูกมะละกอ สับได้ที่แล้วก็ซอยออกเป็นชิ้นบางๆ จะได้มะละกอเป็นเส้นเล็กๆ ปลายเรียว เมื่อได้ปริมาณมากตามต้องการแล้ว ต่อไปก็เตรียม พริก กระเทียม มะนาว น้ำปลา ถ้าเป็นส้มตำแบบอีสานแท้นั้นใช้น้ำปลาร้าแทนน้ำปลาหรือจะใช้ทั้งสองอย่าง
         เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้วก็นำ พริก กระเทียมมาใส่ลงในครก ใช้สากตำละเอียดพอประมาณ ใส่มะละกอที่ซอยไว้แล้วลงไป ตำให้พริก กระเทียม มะละกอคลุกเคล้ากันให้เข้ากันดี หากเตรียมมะเขือเทศและถั่วฝักยาวมาด้วยก็จะฝานผสมลงไป เติมมะนาว น้ำปลาร้า และน้ำปลา ตำคลุกเคล้ากันดีแล้ว ตักชิมรสดู เติมเปรี้ยวหรือเค็มตามต้องการ แล้วตักใส่จาน กินกับข้าวเหนียวได้พร้อมกับกับข้าวอย่างอื่น คนอีสานกินส้มตำเป็นกับข้าวได้ทุกมื้อ
         ต่อมาตำส้มของชาวอีสานแพร่หลายลงมาภาคกลาง อาจเนื่องมาจากชาวอีสานมาทำงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ตำส้มแบบอีสานก็แพร่หลายในกรุงเทพและส่วนอื่นๆของประเทศไทย โดยเฉพาะร้านข้าวเหนียวส้มตำจะแพร่หลายอยู่ตามกลุ่มคนงานชาวอีสาน
          นอกจากส้มตำก็จะมีไก่ย่าง ปลาดุกย่างและอาหารอื่นๆด้วย ส้มตำเลยเป็นที่นิยมแพร่หลาย การทำส้มตำ จึงมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับคนภาคกลาง เช่น เพิ่มน้ำตาลให้มีรสหวาน เพิ่มถั่วลิสงคั่ว และกุ้งแห้ง ตัดปลาร้าออกใช้แต่น้ำปลาเป็นต้น ส้มตำ หรือ ตำส้มจึงมีรสดั้งเดิมแบบอีสาน หรือแบบภาคกลาง เรียกว่า ตำไทย ซึ่งออกรสหวาน ยิ่งกว่านั้นยังมีการเพิ่มปูดองเข้าไปอีกเพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น

           ตำส้มของชาวอีสาน ไม่เฉพาะแต่มะละกอเท่านั้น ผลไม้อย่างอื่นที่ยังไม่สุกก็นำมาทำเป็นตำส้มได้ เช่นขนุนอ่อน มะม่วง มะยม เป็นต้น ปัจจุบัน ส้มตำมิใช่แพร่หลายเฉพาะในหมู่คนไทยเท่านั้น ส้มตำแพร่หลายออกไปจนกลายเป็นอาหารที่นานาชาติรู้จักและเป็นอาหารจานโปรดของนักท่องเที่ยวที่โรงแรมชั้นหนึ่งทุกแห่ง ที่สำคัญ ทหารอเมริกันที่มารบกับเวียดนาม มาประจำที่ฐานทัพในประเทศไทย ต่างก็ติดใจตำส้มอีสาน นำไปเผยแพร่ที่อเมริกาจนรู้จักกันไปทั่วโลกทีเดียว


ส้มตำแบบต่างๆ



ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู
ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ
ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
ตำซั่ว ใส่เส้นขนมจีนแทนเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
ตำป่า ใส่ผักหลายชนิด เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน
• นอกจากนี้ ยังมีบางที่ นำเอาผักหรือผลไม้ดิบ อย่างเช่น มะม่วงดิบ ใส่แทนมะละกอดิบ เรียกว่า "ตำมะม่วง, "กล้วยดิบ เรียกว่า "ตำกล้วย"], แตงกวา เรียกว่า "ตำแตง", ถั่วฝักยาว เรียกว่า "ตำถั่ว" และแครอทดิบ เป็นต้น ถ้าใช้ผลไม้หลายๆ อย่างเรียกว่า ตำผลไม้
• นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า ส้มตำหอยดอง

ส่วนผสมหลักของส้มตำ

• มะละกอสับ 400 กรัม
• น้ำปรุงส้มตำ 120 กรัม
• ถั่วฝักยาว 80 กรัม
• มะเขือเทศ 120 กรัม
• พริกขี้หนู 5 กรัม
• กุ้งแห้ง 25 กรัม
• กระเทียม 8 กรัม
• น้ำมะนาว 20 กรัม

วิธีทำส้มตำ

• โขลก พริก และกระเทียมพอแหลก
• ใส่มะละกอ ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ กุ้งแห้ง โขลกพอให้มะละกอช้ำนิดหน่อย
• ใส่น้ำปรุงส้มตำ และแต่งรสเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวอีกเล็กน้อย รับประทานกับผักสด เช่น กะหล่ำปลี ผักบุ้งไทย ถั่วฝักยาว
------------------------------------------------

วันศุกร์, สิงหาคม 15, 2557

มุมมองของช้อนที่ยาวหนึ่งเมตร



มุมมองของช้อนที่ยาวหนึ่งเมตร

     ....จำไม่ได้แล้วว่าได้ยินเรื่องของช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรมาจากที่ใด แต่สาระของเรื่องนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจและกลับมาให้แง่คิดในหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งนั่นมาพร้อมกับความสุขและความอิ่มใจ เรื่องราวของช้อนยาวหนึ่งเมตรนี้เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจให้ในบางครั้งการจะทำอะไรให้สำเร็จ เราก็แค่เพียงตักอาหารที่ดีที่สุดแล้วป้อนใส่ปากของคนที่อยู่ตรงข้ามเรา แทนที่จะพยายามตักอาหารที่อร่อยที่สุด แล้วพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะป้อนใส่ปากเรา ทั้งทั้งที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรที่ใช้ตักอาหารนั้นไม่มีทางทำให้เราอิ่ม...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้มีชายคนหนึ่งอยากรู้เหลือเกินว่า นรก กับ สวรรค์ ต่างกันอย่างไร ในค่ำคืนหนึ่งขณะที่กำลังหลับได้มีเทวดาองค์หนึ่งพาเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นงดงามจนสุดจะบรรยาย มีต้นไม้ร่มรื่น มีลมพัดเย็น ดูแล้วน่าจะเป็นสวรรค์มากกว่านรก เทวดาได้พาชายหนุ่มคนนั้นมาหยุดที่ห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นประดับประดาไปด้วยอัญมณีและสิ่งของมีค่า กว้างขวาง โอ่อ่า ตรงกลางห้องมีโต๊ะกินข้าวกว้างประมาณหนึ่งเมตร มีผู้คนทั้งชายหญิงนั่งคละกันไปแต่แบ่งเป็นสองฝั่งแค่เงยหน้าทุกคนก็จะเห็นคนอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน ตรงหน้าของแต่ละคนมีจานอาหารหนึ่งใบพร้อมด้วยอาหารรสเลิศที่ดูดีมีสีสันน่ากิน และอาหารแต่ละคนล้วนตักมาจนพูนจาน ทางด้านขวามือของแต่ละคนมีช้อนคนละหนึ่งคัน แต่...ช้อนนั้นมีความยาวประมาณหนึ่งเมตรและมีด้ามจับอยู่ตรงปลาย ชายหนุ่มสังเกตเห็นรูปร่างแต่ละคนในห้องนั้นล้วนผอมโซแล้ว ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจนัก  เจ้ามาได้เวลาอาหารกลางวันพอดี กฎของที่นี่คือทุกคนต้องใช้ช้อนตักอาหารเท่านั้น และมีเวลากินเพียงสิบห้านาที เทวดากล่าว เริ่มได้.... สิ้นเสียงของคำพูด ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว ต่างก็รีบหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความยาวของช้อน กว่าจะตักแล้วยื่นใส่ปาก ก็ลำบากมาก แถมกว่าจะส่งเข้าปาก อาหารนั้นก็หกหล่นตามพื้นเต็มไปหมดเนื่องจากมือที่สั่น  ที่เหลือติดช้อนนั้นก็มีเพียงนิดเดียว และยิ่งเวลากระชั้นชิดเข้ามา ทุกคนต่างก็ยิ่งรีบ ยิ่งรีบก็ยิ่งหก  นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ทุกคนที่นี่ล้วนดูอดอยากทั้งที่มีอาหารดี ๆ อยู่เต็มไปหมด ชายหนุ่มคิด...ก่อนจะเดินออกมาจนสังเกตเห็นประตูหน้าห้องที่เขียนว่า ...ห้องสำหรับคนตกนรก....
       ถัดจากห้องสำหรับคนตกนรกมาอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน มีป้ายติดไว้ว่า ...ห้องสำหรับคนขึ้นสวรรค์...  ห้องนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ มันคงจะแตกต่างจากห้องนรกน่าดู    แต่เมื่อเทวดาเปิดประตูออกมา ก็ทำให้เขาประหลาดใจเพราะทุกอย่างในห้องล้วนเหมือนกันกับห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมารวมทั้งกฏในการทานอาหาร จะแตกต่างกันก็แต่เพียง ผู้คนที่อยู่ในห้องนี้ล้วนหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณผุดผ่อง พูดคุยกันราวกับเพื่อนสนิท ทำไมไม่เห็นหิวโซเหมือนห้องเมื่อกี้เลย ชายหนุ่มคิดในใจ
      เริ่มทานอาหารได้ เมื่อสิ้นเสียงทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น ต่างก็ค่อย ๆ ใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรนั้นตักอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับตนแล้วป้อนใส่ปากของคนที่อยู่ตรงกันข้าม ผลัดกันไปมาด้วยความเรียบร้อย โดยไม่มีอาหารตกหล่นและวุ่นวาย เพียงสิบนาทีทุกคนก็ได้กินอาหารจนอิ่ม .....
         ผมรู้แล้วว่านรกกับสวรรค์ต่างกันอย่างไร ชายหนุ่มกล่าวกับเทวดาในขณะที่เทวดาพาเขามาส่งยังห้องนอนของเขา

…..แล้วคุณล่ะ  รู้หรือยัง..?
.....สำหรับผมรู้เพียงว่าทุกคนจะมีความสุขถ้าเรารู้จักคำว่า แบ่งปัน

Pages