วันอาทิตย์, ตุลาคม 28, 2555

ผีเสื้อที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

ผีเสื้อที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

         ผีเสื้อและแมลงอื่น ๆ ทุกชนิดจัดเป็น "สัตว์ป่า" นับตั้งแต่มีการประกาศพระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕   ผีเสื้อหลายชนิดจัดเป็น "สัตว์ป่าคุ้มครอง" เนื่องจากอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์โดยห้ามซื้อขายและห้ามมีไว้ในครอบครอง ผีเสื้อที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองมีทั้งหมด
ผีเสื้อที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
๑. ผีเสื้อค้างคาว (Lyssa zampa) - เป็นผีเสื้อกลางคืน
๒. ผีเสื้อหางยาวตาเดียวปีกลายหยัก (Actias maenas) - เป็นผีเสื้อกลางคืน
๓. ผีเสื้อถุงทองธรรมดา (Troides aeacus) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๔. ผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียว (Papilio palinurus) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๕. ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ (Meandrusa sciron) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๖. ผีเสื้อนางพญาก็อดเฟรย์ (Stichophthalma godfreyi) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๗. ผีเสื้อสมิงเชียงดาว (Bhutanitis lidderdalel) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๘. ผีเสื้อรักแร้ขาว (Papilio protenor) - เป็นผีเสื้อกลางวัน
๙. ผีเสื้อมรกตผ้าห่มปก (Teinopalpus imperialis) - เป็นผีเสื้อกลางวัน

  ทั้งหมดมีอยู่ ๙ ชนิด
ดูรายละเอียดเกี่ยวกับผีเสื้อทั้งหมดได้ที่ :
http://www.ist.cmu.ac.th/riseat/nl/2004/07/01.php

วันพุธ, ตุลาคม 24, 2555

การจัดการขยะ โครงการต้นแบบดี ๆ

การจัดการขยะ โครงการต้นแบบดี ๆ

             ยังจำได้เมื่อตอนอยู่โรงเรียนปฐมที่ต่างจังหวัด คุณครูมักจะสอนให้เก็บขยะไว้ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง ถ้าหากยังหาที่ทิ้งไม่ได้ พอกลับมาถึงบ้าน ตอนที่แม่ซักผ้าให้ มักจะโดนบ่นเป็นประจำ เพราะเก็บเศษลูกอมไว้ในกระเป๋าแล้วไม่ได้ทิ้ง แต่นั่นคือสิ่งดี ๆ ที่ติดตัวมาจนถึงปัจจุบันนี้
การจัดการขยะ การแยกประเภทของขยะ ถังขยะ             กำลังคิดว่าหากคนไทยทุกคนเก็บขยะไว้กับตัวเองก่อนที่จะเจอถังขยะแล้วค่อยทิ้ง บ้านเมืองเราก็คงจะน่าอยู่มิใช่น้อย แต่เดี๋ยวนี้คนไทย มักจะทิ้งออกนอกรถบ้าง ไม่ทิ้งลงถังขยะบ้าง เพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งที่มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของคนไทยทุกคน ....มีใครยังจำโครงการตาวิเศษได้บ้างหรือไม่ หากจำได้ผู้เขียนก็อยากให้นำกลับมารณรงค์กันอีกครั้ง อย่างน้อยก็ปลุกจิตสำนึกคนไทยก่อนที่จะทิ้งสิ่งของเหลือใช้หรือไม่จำเป็นออกเป็นไปภาระของคนอื่น ให้กลับมาคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งถึงความเหมาะสม
              เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา (วันปิยมหาราช ปี พ.ศ.2555) ผู้เขียนได้ขับรถผ่านจังหวัดสระบุรี พักกินข้าวที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง รู้สึกสะดุดตากับถังขยะที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับติดป้ายความหมายของประเภทขยะต่าง ๆ ...คิดว่าทุกคนคงเคยเห็นถังขยะกันมาแล้วอย่างแน่นอน และก็เคยมีการรณรงค์ให้ช่วยกันทิ้งขยะให้ถูกประเภท แต่ก็คงมีหลายคนที่สงสัยเหมือนกันว่า ขยะที่เรากำลังจะทิ้ง มันอยู่ในประเภทไหนหว่า....(รวมถึงผู้เขียนด้วย...อิอิ.)
การจัดการขยะ ประเภทของขยะ ถังขยะ              การติดป้ายบอกประเภทและคำอธิบายสั้น ๆ เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ทำให้ทั้งผู้ทิ้งและผู้เก็บลดภาระในการแยกขยะอีกครั้ง อีกทั้งยังสามารถนำขยะนั้น ๆ ไปทำลายหรือไปรีไซเคิล (Recycle) ได้อย่างถูกวิธี นับว่าเป็นการปลูกจิตสำนึกของคนไทยไปในตัว อาจจะเป็นมุมเล็ก ๆ ที่คนทั่วไปไม่ได้สังเกต แต่ผู้เขียนอยากจะขอบคุณจุดเล็ก ๆ ของความคิดดี ๆ อันนี้....เพราะเราทุกคนต่างก็คงเห็นด้วยกันว่า "จุดเล็ก ๆ นี่แหละที่ทำให้ภาพใหญ่ ๆ สวยงาม"............ขอบคุณจริง ๆ ครับ


               ประเภทของขยะ

               ขยะย่อยสลายได้ คือ ขยะอินทรีย์ ได้แก่ เศษผัก เศษอาหาร และเปลือกผลไม้ หากทิ้งไว้จะก่อให้เกิดก๊าซมีเทน(ก๊าซมีเทน เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 23 เท่าตัวเลยทีเดียว และก็เป็นก๊าซที่มีส่วนที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอยู่ในตอนนี้)
               
               ขยะรีไซเคิล คือ ขยะที่ขายได้ เพราะสามารถนำกลับมาใช้ได้อีก ได้แก่ กระดาษ พลาสติก โลหะขวดแก้วต่าง ๆ  (ข้อดีของแก้วคือสามารถใช้หลอมกี่รอบก็ได้โดยที่คุณสมบัติไม่เปลี่ยน แทนที่จะหลอมเม็ดทรายก็หลอมแก้วแทน)

               ขยะอันตราย คือ ขยะที่ใช้แล้วต้องทิ้ง ได้แก่ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ เข็มฉีดยา หลอดไฟฉาย กระป๋องสเปรย์ ซึ่งต้องกำจัดอย่างถูกวิธี

               ขยะทั่วไป คือ ขยะที่ใช้ประโยชน์ต่อไม่ได้ ได้แก่ เปลือกลูกอม ถุงขนม ซองบะหมี่สำเร็จรูป ถุงพลาสติกที่เปื้อนอาหาร
             
ข้อสังเกต 
          หากไม่แน่ใจว่าขยะหรือบรรจุภัณฑ์ที่คุณถืออยู่เป็นขยะประเภทใด ให้มองรอบ ๆ หีบห่อบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เราจะทำการทิ้ง เพราะบางผลิตภัณฑ์จะมีสัญลักษณ์บ่งบอกประเภทขยะ ให้คุณแยกก่อนทิ้งได้ง่ายขึ้น
               

วันจันทร์, ตุลาคม 22, 2555

พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ

    พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ


พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ


พระมงคลมิ่งเมือง ประดิษฐาน ณ พุทธอุทยาน (เขาดานพระบาท)
พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ               ระมงคลมิ่งเมือง เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ต่อจากองค์เดิมที่คณะฆ์และประชาชนได้ก่อเค้าโครงด้วยอิฐและหิน ประดิษฐานบนแท่นหินสูง ๔.๕๘ เมตร กว้าง ๕.๒๕ เมตร ยาว ๑๐.๑๐ เมตร และมติคณะกรรมการ โดยได้ออกแบบโครงสร้างใหม่ครอบองค์พระเดิม โดยขยายองค์พระให้ใหญ่ขึ้นเป็นแบบ ซึ่งได้อิทธิพลของสกุลศิลปะอินเดียเหนือปาละและแผ่มายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๖ และถือเป็นต้นแบบของสกุลศิลปะพระพุทธรูปแบบล้านช้าง และขานนามว่าเป็น "พระพุทธรูปปางมารวิชัย" นาม " พระมลคลมิ่งเมือง" ภายในพระอุระมีพระบรมสารีริกธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรจุไว้ พระมงคลมิ่งเมืองมีพระพักตร์ขนาด กว้าง ๒ เมตร วัดจากพระหนุ (หนุ แปลว่า คาง) ถึงยอดเปลวพระรัศมี ๖ เมตร ส่วนสูงวัดจากพื้นดินระดับที่ต่ำที่สุดถึงยอดเปลวพระรัศมี สูง ๒๐ เมตร หน้าตักกว้าง ๑๑ เมตร ฐานกว้าง ๘.๔๐ เมตร ความยาวฐาน ๑๒.๖๐ เมตร ความสูงวัดระดับพื้นดินต่ำสุด ๕.๒๐ เมตร มีโครงสร้างองค์พระเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยตลอดผิวนอกฉาบปูนบุด้วยกระเบื้องเสกสีทอง ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๗ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๗ คณะกรรมการมีมติให้ต่อเติมชานรอบฐานองค์พระ  ชานรอบฐานโดยรอบ ๓ ด้าน กว้างด้านละ ๔ เมตร ชานตรงบันไดด้านหน้ากว้าง ๖ เมตร ประกอบด้วย พุ่มและกระถางธูป บุด้วยกระเบื้องโมเสก ฐานด้านล่างเป็นหินอ่อนสีเทาและดำ
             ด้านหลัง พระมงคลมิ่งเมือง เป็นที่ประดิษฐานของ "พระละฮาย" พระพุทธรูปสลักด้วยหินทรายแดง ๒ องค์ แต่การสลักยังไม่แล้วเสร็จ มีพุทธลักษณะที่ประดิษฐ์ขึ้นในระยะตรงกับ สมัยทวาราวดีรุ่นหลัง อายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๒ ทำการขุดค้นได้จากอ่างเก็บน้ำห้วยปลาแดก รวมทั้งใบเสมาหินทรายแดงใหญ่ ดังปรากฏในปัจจุบัน


พิธีมหาพุทธาภิเษก
         พระมงคลมิ่งเมือง ได้ก่อสร้างขึ้นจากคณะผู้ศรัทธาอันเป็นกุศลเจตนา โดยมี ฯพณฯ พลเอกประภาส จารุเสถียร เป็นผู้อุปการระ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การก่อสร้างมีความมั่นคงแข็งแรงและสวยงามถูกต้องตามแบบวิชาการ และมุ่งหมายให้พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพุทธศิลปะประจำภาค ถูกต้องตามสายวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงเป็นที่บำเพ็ญธรรมของฝ่ายวิปัสสนาธุระและแหล่งทัศนาจร

         พระมงคลมิ่งเมือง ออกแบบโดย นายจิตร บัวบุศย์ ศึกษานิเทศก์ กรมอาชีวศึกษา (สมัยนั้น)

         พิธีพุทธาภิเษกครั้งที่  ๑ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๘ เวลา ๑๕.๐๐ - ๑๕.๔๖ นาฬิกา โดยมี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฐฎายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นประธาน ฝ่ายบรรพชิตและ ฯพณฯ พลเอกประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ "(คฤหัสถ์ (อ่านว่า คะรึหัด) แปลว่า ผู้มีเรือน, ผู้ครองเรือน, ผู้อยู่ในเรือน เรียกรวมทั้งชายและหญิง) ในครั้งนี้ได้จำลองพระมงคลมิ่งเมืองเป็นพระบูชาขนาดหน้าตัก ๖ นิ้วและ ๔ นิ้ว และเหรียญเข้าร่วมพิธีด้วย
             
พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
   พิธีพุทธาภิเษกครั้งที่  ๒ วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา เป็นผลจากการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฉลองครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ประกอบกับโดยรอบองค์พระชำรุด กระเบื้องโมเสกผุกร่อน คณะกรรมการพัฒนาพระมงคลมิ่งเมืองและมูลนิธิพระมงคลมิ่งเมือง จึงมีมติบูรณะเพื่อเปลี่ยนกระเบื้องโมเสกใหม่และนำกระเบื้องโมเสกจัดสร้างพระพุทธรูปบูชามีขนาด ๙ นิ้ว ๗ นิ้ว ๕ นิ้ว ๓ นิ้ว และพระเครื่องขนาด ๑ นิ้ว ให้เช่าบูชา โดยเริ่มบูรณะเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๗ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ โดยมี  สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวรมหาเถระ) กรรมการมหาเถระสมาคม วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครเป็นประธานฝ่ายบรรพชิต (บรรพชิต หมายถึง ผู้เว้นทั่ว, เว้นจากอกุศลโดยประการทั้งปวง)  และ นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์


คาถาบูชา พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
              คาถาบูชา พระมงคลมิ่งเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ


วันอาทิตย์, ตุลาคม 14, 2555

วิธีทดสอบคนดีที่สำคัญแปดประการ

วิธีทดสอบคนดีที่สำคัญแปดประการ


            ตำราพิชัยสงครามลิ่วเทา (หกยุทธวิธี) ซึ่งเขียนขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ ๓-๕ นั้น เป้นตำราโบราณที่เก่าแก่มากเล่มหนึ่ง เพราะได้ค้นพบตำราลิ่วเทาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมา (เป็นบันทึกในติ้วไม้ไผ่) ในพิชัยสงครามลิ่วเทา ได้แยกแยะหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยคนไว้เป็น ๘ ประการด้วยกัน คือ
      หนึ่ง  ถามเกี่ยวกับวิชาความรู้ เพื่อวัดความเข้าใจของเขาว่ามีมากน้อยเพียงใด
      สอง  ถามต่อไปให้ลึกถึงเหตุผลความเป็นมา และสังเกตดูว่าเขามีปฏิภาณโต้ตอบอย่างฉับไวหรือไม่
      สาม  ในขณะที่ใช้ให้เขาทำงาน หาสิ่งมาทดสอบมาล่อใจเขาดูว่าเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่
      สี่       พูดความลับออกมา เพื่อสังเกตความมีคุณธรรมของเขา
      ห้า     ให้เขาจัดการเรื่องทรัพย์สมบัติ ดูว่าเขาเป็นคนไว้ใจได้หรือไม่
      หก     ให้เขาเข้าใกล้สตรีเพศ ดูว่าเขายังคงเป็นตนเองได้หรือไม่
      เจ็ด    ให้เขาทำงานที่ยากลำบาก ดูว่าเขามีความกล้าหาญหรือไม่
     แปด    ให้เขากินเหล้าจนเมา ดูว่าเขาจะแสดงท่าทางอย่างไร

              หากนำหลักเกณฑ์ทั้งแปดประการมาเป็นเครื่องพิจารณาในการดูคน คงต้องใช้วิธีการมากมายเพื่อให้ทราบคุณสมบัติดังกล่าว แต่ถ้าอยากได้คนดีมีฝีมือมาใช้จริง ๆ อย่างน้อยการลองนำวิธีการเหล่านี้มาใช้สักสามสี่ข้อ ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรและจำเป็นที่เดียว

วันเสาร์, ตุลาคม 13, 2555

เหตุผลที่ทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จ

เหตุผลที่ทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จ

1. ขาดความกระหายใคร่อยาก
     หากคุณไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นจริงจัง หรือมิฉะนั้นคุณก็พยายามต่อรองราคาที่ต้องจ่ายไป

2. ไม่เต็มใจทุ่มเท
     เมื่อคุณเริ่มคิดว่าคุณอาจได้บางอย่างมาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย คุณจะพบว่าการทำอะไรบางอย่างยากขึ้นเรื่อย ๆ 

3.  ขาดความเชื่อมั่น
     การพูดว่าฉันทำไม่ได้ จะทำให้คุณทำไม่ได้จริง ๆ

4.  ต่อสู้กับเรื่องที่เป็นประเด็นส่วนตัว
     คนเราประสบความสำเร็จได้ยาก เมื่อพวกเขามีปัญหาทางด้านความรู้สึกมากมายเป็นตุ้มถ่วง

5.   ใช้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กน้อยมากเกินไป
     อย่าเฝ้าแต่ยุ่งอยู่กับการทำงานที่เต็มไปด้วยกิจกรรมอันไม่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ

6.   ขาดความคิดสร้างสรรค์
     ถ้าคุณไม่ถามตัวเองว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ บ่อยครั้งพอ ใครบางคนจะถามคุณว่า ทำไมผมต้องจ้างคุณด้วย

7.   มีชีวิตอยู่กับอดีต
     ถ้าการมองย้อนอดีตทำให้คุณรู้สึกยอดเยี่ยมแล้ว คุณคงไม่ได้ทำอะไรในวันนี้มากพอ

8.   ขาดใจที่จดจ่อ
     เรื่องสำคัญคือ การคงเรื่องสำคัญไว้ให้เป็นเรื่องสำคัญต่อไป

9.   ความล้มเหลวในอดีต
     เพียงเพราะว่าคุณเคยล้มเหลวมาก่อนในอดีต ไม่ได้หมายความว่าคุณคือผู้ล้มเหลว

10. หมดพลังทางกาย ทางความรู้สึก หรือทางจิตวิญญาณ
     บางครั้งคุณแค่จำเป็นต้องกันเวลาไว้พักผ่อนและรวมพลังกลับเข้ามาใหม่ การทำเช่นนั้นจะทำให้คุณเกิดพลังเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรือเพื่อปลุกความปรารถนาอันแรงกล้าที่มีต่อวิสัยทัศน์ครั้งเก่าก่อนขึ้นมาใหม่

ดอนเจดีย์ ที่ท่องเที่ยวเมืองสุพรรณบุรี

ดอนเจดีย์ ที่ท่องเที่ยวเมืองสุพรรณบุรี

อนุสรณ์ดอนเจดีย์ เมืองสุพรรณบุรี
อนุสรณ์ดอนเจดีย์ เมืองสุพรรณบุรี ถ่ายเมื่อ 13 ตุลาคม 2555
คตินิยมเรื่องการทำยุทธหัตถี
            การชนช้างถือเป็นยอดยุทธวิธีของนักรบ เพราะเป็นการต่อสู้กันตัวต่อตัวแพ้ชนะกันแต่ด้วยความคล่องแคล่วแกล้วกล้า กับชำนิชำนาญการขับขี่ช้างชน มิได้อาศัยกำลังรี่้พลหรือกลอุบายอย่างหนึ่งอย่างใด อีกประการหนึ่งในการทำยุทธสงครามที่จอมพลทั้งสองฝ่ายจะได้เข้าใกล้ชิดจนถึงชนช้างได้นั้นมีน้อย เพราะฉะนั้นกษัตริย์พระองค์ใดทำยุทธหัตถีมีชัยชนะก็ได้รับยกย่องว่ามีพระเกียรติยศอย่างสูงสุด ถึงผู้แพ้นั้นก็ยกย่องสรรเสริญกันว่าเป็นนักรบแท้
คตินิยมเรื่องการทำยุทธหัตถี ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี
คตินิยมเรื่องการทำยุทธหัตถี ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี

             การจัดกระบวนทัพของไทยสมัยโบราณ
                    พลช้างนับเป็นกำลังสำคัญของกองทัพบกในการรบ เพราะใช้เป็นหน่วยประจัญบาน มีการจัดกระบวนแบ่งเป็นหมวด ดังนี้
                ๑.  ช้างดั้ง เดินอยู่กลางริ้วขบวนหน้า เป็นช้างที่นั่งละคอ
                ๒.  ช้างกัน เดินอยู่กลางริ้วขบวนหลัง เป็นช้างที่นั่งละคอ
                ๓.  ช้างแชก ทำหน้าที่ตรวจตราริ้วนอกสองข้าง ไม่มีควาญหลัง ทำหน้าที่สารวัตรช้าง
                ๔.  ช้างแซง เดินเป็นริ้วเรียงกันทั้งสองข้างตลอดแนว ไม่มีควาญหลังทำหน้าที่คล้ายสารวัตรช้าง
                ๕.  ช้างล้อมวัง มีหน้าที่แวดล้อมพระคชาธาร ผูกสัปคับโถง
                ๖.  ช้างค้ำและช้างค่าย หรือเรียกว่า "ช้างต้น" เดินอยู่วงในของช้างล้อมวัง ทำหน้าที่องครักษ์
                ๗.  ช้างพังคาสำหรับเจ้าพระยาเสนาบดี และเจ้าประเทศราชเป็นช้างผูกเครื่องมั่น
                ๘.  ช้างพระไชย ตั้งสัปคับหลังคากันยา สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปนำหน้าพระคชาธาร
                ๙.  พระคชาธาร ช้างทรงพระมหากษัตริย์
               ๑๐. พระที่นั่งกระโจมทองผูกสัปคับหลังกูบ ใช้เป็นพระที่นั่งรอง สำหรับประทับเวลารอนแรมไปในกองทัพ
               ๑๑. ช้างโคตรแล่น เป็นช้างสัปคับเดินอยู่ท้ายกระบวนช้าง แต่ในเวลาสงครามช้างโคตรแล่นจะเป็นช้างประจัญบาน เพราะเป็นช้างที่ดุร้ายที่สุด หากเป็นช้างยุทธหัตถี อาวุธที่เพิ่มขึ้นมา คือ หอกผูกผ้าแดง ๒ เล่มปืนใหญ่หันปลายออก ข้างขวา ๑ กระบอก ข้างซ้าย ๑ กระบอก มีนายทหารและพลทหารสวม เกราะโพกผ้า ตัวช้างที่เข้ากระบวทัพจะสวมเกราะตลอดกาย ใส่เกือกหรือรองเท้าเหล็กสำหรับกันขวากหนาม โดยใส่ทั้งสี่เท้า สวมหน้าราห์งาสองข้าง มีปลอกเหล็กสวมและเกราะโซ่ฟันงวงช้างเพื่อการจับกุมยื้อแย่งโคนค่ายประตูหอรบโดยไม่เจ็บปวด
              ลักษณะการใช้อาวุธบนหลังช้างแบบดังกล่าวนี้ยังคงใช้สืบเนื่องจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ก่อนการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการจัดกองทัพอย่างตะวันตก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


อนุสรณ์ดอนเจดีย์ แหล่งท่องเที่ยว สุพรรณบุรี
อนุสรณ์ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี


อนุสรณ์ดอนเจดีย์ แหล่งท่องเที่ยว เมืองสุพรรณบุรี
อนุสรณ์ดอนเจดีย์ แหล่งท่องเที่ยว เมืองสุพรรณบุรี


รูปภาพแสดงยุทธหัตถี ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี
รูปภาพแสดงยุทธหัตถี ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี
ยุทธวิธีการรบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 
           สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้หลักการที่สำคัญดังนี้
๑. หลักการจู่โจม เลือกกระทำการโดยข้าศึกไม่รู้ตัว เช่น การเข้าตีค่ายพระยานครที่ปากน้ำพุทธเลา
๒. หลักความเป็นเบี้ยบน ตั้งปัญหาให้ข้าศึกแก้ ด้วยการออกรบก่อนไม่รอให้ข้าศึกเข้าทำการก่อน
๓. หลักการรวมกำลัง รวมกำลังให้มีกำลังเหนือข้าศึกเข้าทำการเฉพาะตำบล ถึงข้าศึกมีกำลังมากแต่แยกกันอยู่มาช่วยกันไม่ได้
๔. หลักการใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ เช่น ทรงตรวจภูมิประเทศก่อนวางแผนตีเมืองคัง
๕. หลักการบังคับบัญชา หรือ เอกภาพในการบังคับบัญชา คือ การเป็นผู้นำ ด้วยความกล้าหาญ เด็ดขาด มีวินัย ทรงนำทหารออกรบเอง สั่งประหารชีวิตพระยากำแพงเพชรให้เป็นตัวอย่างของความอ่อนแอ
๖. หลักการออมกำลัง ทรงใช้กองโจรซึ่งเป็นกำลังส่วนน้อยออกทำการอย่างกว้างขวางและได้ผล ขณะที่กำลังส่วนใหญ่คงพักอยู่ในพระนครเป็นการออมกำลัง กำลังรบจึงสดชื่นที่จะทำการแตกหักได้เฉพาะแห่ง
ยุทธวิธีการรบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ยุทธวิธีการรบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

วันพุธ, ตุลาคม 10, 2555

องค์ประกอบของความสำเร็จ

องค์ประกอบของความสำเร็จ

 

1.   ทัศนคติ - รู้วิธีสร้างความรู้สึก
       ผู้บริหารรระดับสูงเกือบทั้งหมดที่มีรายชื่อติดอันดับในนิตยสารฟอร์บส์เชื่อว่า ความสำเร็จของพวกเขาเกิดจากทัศนคติมากกว่าปัจจัยอื่น หากคุณเชื่อว่าคุณสามารถพัฒนาศักยภาพที่มีในตัวคุณได้แล้ว นั่นคือการเปิดประตูไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

2.   การจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง - รู้วิธีเลือก
       คุณไม่อาจพัฒนาไปสู่การใช้ศักยภาพสูงสุดที่มีในตัวคุณได้ทุกด้านของชีวิต คุณจำเป็นต้องเลือกให้ได้ว่าจะพัฒนาไปในทิศทางใด แล้วรวมพลังในตัวคุณ เพราะบรรดาผู้นำที่ยิ่งใหญ่ทำเพียงเรื่องที่เก่งเป็นพิเศษไม่กี่อย่าง

3.   วิสัยทัศน์ - รู้วิธีมอง
       วิสัยทัศน์คือการมองสิ่งต่าง ๆ อย่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้นำ ถ้าวิสัยทัศน์ของคุณก่อกำเนิดมาจากการชี้นำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว คุณจะเดินถูกทางเสมอ

4.    ทิศทาง - รู้วิธีเริ่มต้น
       จำไว้ว่าวิสัยทัศน์อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความเสี่ยงรวมอยู่ด้วย การจ้องมองขึ้นไปตามขั้นบันไดอย่างเดียวไม่พอ เราต้องก้าวขึ้นไปตามขั้นบันไดนั้นด้วย โดยการวางแผนก้าวแรกไว้ เพื่อแปรความต้องการลงสู่การกระทำ จากนั้นก็เริ่มลงมือทำได้

5.    ความคิดสร้างสรรค์ - รู้วิธีคิด
        การพัฒนาคือการเดินทาง และไม่ว่าในการเดินทางครั้งใด คุณก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่ไม่ได้คาดเดาไว้ ความสามารถของคุณในการเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น จะเป็นเหครื่องตัดสินว่าคุณประสบความสำเร็จหรือไม่

6.     ความรับผิดชอบ - รู้วิธีทำให้สำเร็จ
        การพัฒนาไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ มันจำเป็นต้องใช้การอุทิศตนอย่างเต็มเปี่ยม ประกอบกับการมีวิสัยทัศน์ซึ่งทำได้ทุกอย่างที่จำเป็นและความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวในการใช้ความพยายามสูงสุด จงให้ทั้งหมดที่คุณมี แล้วคุณจะได้ทุกอย่งที่คุณสมควรได้รับ

Pages